ปตท.
เป็นบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียวที่มีชื่อติดอันดับฟอร์จูน 100
หากจับประเด็นเพียงผิวเผินอาจจะทำให้นึกได้ว่า ปตท. เป็นบริษัทที่เรียกกว่า โกลบอล
คอมปานี หรือบริษัทที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่ระดับโลกแล้ว
ยิ่งเราได้เห็น ปตท.
ขยายการลงทุนไปยังต่างแดนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น แต่ความหมายของการเป็น
โกลบอล คอมปานี ที่แท้จริงคือ
การที่บริษัทนั้นสามารถผลิตสินค้าหรือบริการส่งขายได้ทั่วโลก เป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง
หรือบริษัทนั้นสามารถพัฒนาสินค้าที่มีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้าง
ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้สงสัยได้เหมือนกันว่า คนบนโลกนี้เขาจะรู้จัก ปตท.
เหมือนที่เรารู้จักกันหรือไม่
ในบ้านเราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปตท.
คือบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ในเมืองไทย มูลค่าตลาดของบริษัทในเครือรวมกันก็กินสัดส่วนก้อนใหญ่ที่สุดแล้ว
โดยมีปัจจัยที่มาจากหลายสาเหตุ การเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีความได้เปรียบในแง่พื้นฐาน
โดยเฉพาะการที่มนุษย์ยังมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่พึ่งพาน้ำมันเป็นพลังงานหลักอยู่อย่างมาก
แต่ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายแบบนี้
ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เคยยั่งยืน
เพราะธุรกิจล้วนมีวัฏจักร สั้นยาวแตกต่างกัน
ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์แตกต่างอยู่บ้างตรงที่ปริมาณการค้าขายอันมากมายมหาศาล
ส่งผลให้วัฏจักรหมุนไปเป็นวงรอบที่ใหญ่พอดู กินเวลายาวนานหลายปีต่อเนื่อง จากนั้นจึงฟุบไปหลายปีต่อเนื่อง
แล้วกลับมาขึ้นใหญ่เป็นรอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามแรงผลักระหว่างทั้งอุปสงค์ อุปทาน
การเก็งกำไร นโยบาย การเมือง ฯลฯ
ผมมีความเห็นว่า
สินค้าโภคภัณฑ์ทำนวัตกรรมได้ยากที่สุด
เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกรรมเชิงปริมาณในพื้นฐาน
ค่อนไปทางการเป็นอุตสาหกรรมขั้นปฐมตอนปลาย
ต่อไปเรื่องของการแปรรูปนิดหน่อยไม่มากไม่มาย
จะว่าเป็นขั้นกลางก็ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก มันลักลั่นกันนิดหน่อย
เมื่อเน้นที่ปริมาณ
เวลาทำนวัตกรรมมันก็ต้องทำตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก
เพราะมันหมายถึงการลงไปทำการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต้นน้ำมากๆ
ลงไปทางการวิจัยพื้นฐานลึกเอาเรื่อง ที่สำคัญคือ ทั้งใช้เวลานาน
กินทรัพยากรอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เมื่อไหร่
นวัตกรรมส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆ กันในโลก
มักจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ใกล้กับผู้บริโภคสุดท้ายมาก คือ
มันมักจะผ่านการแปรรูปร่างจากวัตถุดิบไปมาก จนผู้ใช้คนสุดท้ายไม่ทราบด้วยซ้ำว่า
ก่อนหน้านั้นมันเป็นอะไรมาก่อน
กับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากแร่ธาตุ
ทรัพยากรทั้งบนดินหรือใต้ดินนั้น มีการแปรรูปบ้างตามกระบวนการที่จำเป็น
แต่ก็เป็นไปเพื่อการจำหน่ายในปริมาณมากเป็นหลัก
สายการผลิตมันไปถึงผู้ใช้สุดท้ายค่อนข้างสั้น คือ สูบขึ้นมา กลั่น
แล้วก็ส่งไปจำหน่าย ตัดต้นไม้เสร็จ ริดกิ่ง เลื่อยเป็นแผ่น แล้วก็จำหน่าย
ปลุกข้าวเสร็จ เกี่ยว นวด สี แล้วก็ขาย
สินค้าโภคภัณฑ์มีสายการผลิตแต่ละช่วงใหญ่ๆ
ไม่ซับซ้อน ทำให้เป็นปัญหาพื้นฐานของการทำนวัตกรรม
เพราะมันพัฒนาสิ่งใหม่ให้ตลอดช่วงใหญ่ๆ นั้นได้ยากมาก
ถ้าจะทำก็มักจะค่อนไปทางตรงปลายก่อนถึงมือผู้ใช้นิดเดียว พูดง่ายๆ คือ
มักจะไปทำนวัตกรรมกันตรงไม้สุดท้ายก่อนถึงมือผู้บริโภค
ปตท. กำลังท้าทายความยากลำบากตรงนี้ครับ
ด้วยการกำหนดเป้าหมายยากๆ ไว้สามสี่เรื่อง
เริ่มจากการตั้งเป้าว่า ภายในปี ค.ศ.2020 บริษัททั้งหมดในเครือรวมกันจะต้องมีรายได้มากกว่าร้อยละ
20 มาจากสินค้าที่ขายด้วยพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี
พูดให้ง่ายคือ ทุกๆ 100 บาทของรายได้ ต้องมี 20 บาทที่ได้มาจากนวัตกรรม
นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย กับบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก
แต่ถ้าทำได้จริงก็น่าจะเป็นต้นแบบของการพัฒนานวัตกรรมให้กับบริษัทอื่นอย่างน่าสนใจ
อย่างที่สองคือ
การกำหนดภารกิจการลงทุนเพื่อนวัตกรรมที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ร้อยละ 3 ของกำไรต้องเอามาลงทุนวิจัยและพัฒนา
และต้องรักษาระดับของการลงทุนอย่างนี้เอาไว้อย่างต่อเนื่อง ตัวเลขในระดับนี้
นับว่าเหมาะสมทีเดียว
เพราะเรากำลังพูดถึงการลงทุนวิจัยในหลักหลายพันล้านบาทในหัวข้อที่จำกัดขอบเขตที่พลังงานและปิโตรเคมี
ปตท.
จึงเสมือนกับเป็นหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง
ที่ใช้งบประมาณระดับหลายพันล้านบาทเช่นกัน แต่โฟกัสหัวข้อที่แคบกว่ามาก
ไม่กระจัดกระจาย ทำให้พอเห็นแสงสว่างตรงปลายทางบ้าง
เรื่องที่สามคือ
การมุ่งไปที่การสร้างบริษัทให้เป็นผู้ขายเทคโนโลยีเองบ้าง
ไม่ใช่รับซื้อจากผู้อื่นอย่างเดียว อันนี้ ผมถือว่าเป็นการตั้งเป้าหมายที่ยากอย่างแท้จริง
เพราะการเป็นผู้ที่จะสามารถขายเทคโนโลยีได้นั้น
ในกระเป๋าต้องเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายก่ายกอง ถ้าพูดถึงทรัพย์สินทางปัญญาก็น่าจะต้องมีสิทธิบัตรเป็นหลักพันในบริษัท
อันนี้ ผมคิดว่า เป็นฝันที่ดี
แม้วันนี้จะยังอยู่อีกห่างไกลมากก็ตาม แต่หากไม่มีเป้าหมายให้ฝัน ก็จะไม่มีวันไปถึง
สุดท้ายคือ
การกำหนดเป้าหมายที่มุ่งไปยังระดับปฏิบัติการ
ด้วยการตั้งประเด็นที่การรื้อกล่องดำทั้งหลายในระบบที่มีอยู่ขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่า
ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่ซื้อหามาในอดีต เขาทำให้ เราก็เป็นผู้โอเปอเรต
ใช้อย่างเดียว เสียก็ซ่อม หรือไม่ก็ซื้อใหม่ แต่ไม่เคยไปสนใจว่า
มันทำขึ้นมาอย่างไร เราจะปรับให้มันดีขึ้นได้ไหม
หรือเราน่าจะมีระบบที่เราพัฒนาขึ้นเองได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้
ล้วนเชื่อมโยงกับอีกสองสามข้อข้างต้นอย่างมาก และท้าทายบริษัทอย่างยิ่ง
ผมเห็นความพยายามของ ปตท. ในเรื่องนวัตกรรมแล้ว
รู้สึกดีใจ มีความหวังกับประเทศขึ้นมาบ้าง ผมชอบสโลแกนใหม่ของบริษัทที่พูดว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งชีวิตที่ดีและยั่งยืน
น่าจะเป็นบริษัทไทยขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวที่กล้าพูดแบบนี้
ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกทุนนิยมเสรีนิยม วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นหัวใจที่จะทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี
อย่างน้อยก็ในแง่ของการบริโภค
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่า
บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในโลกที่เรียกว่า บิ๊กไฟว์ นั้น เคยเจอกันมาก่อนทั้งสิ้น
ขายของจากธรรมชาติ ก็ต้องสู้กับธรรมชาติ และก็ต้องมีแพ้ธรรมชาติด้วย
บริษัทก็ต้องแก้ปัญหาให้ดี อย่างตั้งใจและจริงใจ
มันไม่จบในเดือนนี้หรือปีนี้หรอกครับ
อีกสิบปีข้างหน้าปัญหามันก็จะยังคงเหลือให้แก้ไข
ต่อให้ทำนวัตกรรมได้เก่งกาจขนาดไหนก็ตาม
สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
อยู่ที่ความรับผิดชอบต่อสังคมนี่เอง ถ้าทำไม่ได้
ก็จะใหญ่อย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ
1 สิงหาคม 2556 หน้า 20