วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รัฐธรรมนูญ


ในฐานะที่วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ ผมมีความหลังมาเล่าให้ฟัง 

รัฐธรรมนูญฉบับจริงเป็นสมุดพับ เขียนด้วยลายมือ คนเขียนมีตำแหน่งที่เรียกว่า อาลักษณ์ มีอยู่หลายคน เวลาสอบเข้า สอบคัดไทย คัดลายมือ 

รัฐธรรมนูญฉบับจริงมี 3 ชุด เก็บไว้ต่างที่กัน ลายมือเหมือนกันทุกฉบับ ไม่มีผิด เพราะถ้าผิดใช้ลิควิดเปเปอร์ลบไม่ได้ ผิดรัฐประเพณี คนที่ปั๊มพระราชลัญจกรก่อนทรงลงพระปรมาภิไธย สมัยเมื่อ 15 ปที่แล้ว มีลุงคนหนึ่งคนเดียวที่อายุเลยเกษียณมานาน แต่หน่วยงานต้องจ้างต่อ เพราะแกทำราชการในตำแหน่งนี้มายาวนาน จนพระราชลัญจกรทั้ง 3 องค์ ที่ทำจากงาช้างสึกทุกองค์ มีแกเพียงคนเดียวที่ประทับได้กลมเกลี้ยงและเรียบเสมอ คนอื่นไม่สามารถทำได้ ผมเองลองหลายครั้งก็ไม่ได้ วันนี้ไม่รู้ยังมีชีวิตอยู่ไหม 

หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ผมมีวาสนาได้จับรัฐธรรมนูญจริงก่อนทรงลงพระปรมาภิไธย ผมขนลุก มันศักดิ์สิทธิ์ในความทรงจำมาก

วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจำได้ว่า อาจารย์กมล ทองธรรมชาติ เคยบรรยายว่า สมัยก่อน มีงานฉลองรัฐธรรมนูญใหญ่โต มีลีลาศ ดนตรี งานออกร้าน ฯลฯ บางคนไม่รู้นึกว่า รัฐธรรมนูญ คือ ลูกของพระยาพหลพลหยุหเสนา

อาจารย์พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ลากไม้เท้ามาสอนผมเรื่องรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ และความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ผมเรียนจบมาในชีวิตยังไม่คิดว่าจะมีศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจริงในเมืองไทย แต่อาจารย์ทำให้ผมซาบซึ้งกับความหมายของรัฐธรรมนูญมาก

รัฐธรรมนูญของจริง ผมเห็น ผมจับ ผมสัมผัสกับอาลักษณ์ที่เป็นคนเขียนด้วยมือมาแล้ว ก่อนจะหยิบมาเปิดดู ลุงบอกให้ผมพนมมือแล้วยกพานจบศีรษะ รัฐธรรมนูญเป็นของสูง ของที่สมควรบูชายิ่ง ไม่ใช่เพราะมันศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร แต่เพราะเป็นของสูง เป็นของที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานลงมาตั้งแต่เมื่อ 81 ปีที่แล้ว และไม่ว่าเราจะฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่มาจนถึงฉบับที่ 18 ก็ตาม รัฐธรรมนูญก็ยังคงเป็นหลักการปกครองที่สำคัญที่สุดของประเทศ ปราศจากรัฐธรรมนูญก็ไม่มีรัฐ ไม่มีประเทศ 

วันนี้วันรัฐธรรมนูญ ผมจะจำวันนี้ ปีนี้ ไปอีกนาน

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Killing Season


หมายเหตุ: Spoil ด้วยการเปิดเผยเนื้อเรื่องและไคลแมกซ์นะครับ ขออภัยทุกท่านล่วงหน้า

ผมดูหนังเรื่องนี้คนเดียวเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นหนังที่ผมชอบตั้งแต่ปก เพราะดาราสองคนนี้กับชื่อเรื่องน่าสนใจ เหมือนจะเป็นบู๊ล้างผลาญ อันเป็นรสนิยมห่วยแตกของผมในการดูภาพยนต์

แต่ปรากฎว่าผิดคาด เพราะเรื่องนี้ เป็นการปะทะกันทางจิตใจมากกว่า คนหนึ่งแค้นฝังจิต อีกคนมีบาดแผลลึกในใจที่ยากจะเยียวยา ทั้งสองเคยรบกันในสนามจริง เมื่อสงครามจบ ใจของคนทั้งสองยังไม่ยอมจบสงคราม ทำให้ต้องไล่ล่ากันจากบอสเนียมาถึงป่าหนาวในอเมริกา

ผมชอบผู้พันที่แสดงโดยปู่โรเบิร์ตมาก แกเหมือนคนเก็บกดสุดๆ หนีลูกหลานมาอยู่ในป่าคนเดียว กะจะแก่ตายเป็นทหารแก่กลางป่าคนเดียว ให้อารมณ์ Old Solider waiting to die มากๆ ขนาดสะเก็ดระเบิดที่ฝังในขา ยังไม่ยอมผ่าออก ขอเก็บมันไว้ยังงั้นเอง แล้วพอหน้าหนาวก็ปวดจนทรมานทั้งตัว

ส่วนคุณจอห์นนั้น แกแค้นเอามาก ก็สมควรเพราะโดนยิงที่กลางหลังจนเป็นอัมพาตไปหลายปี ต้องมาหัดพูดหัดเดินกันใหม่ สมควรแค้นอยู่ แต่ปู่โรเบิร์ตนั้นหมดซีอิีวไปนมนานแล้ว แกอยู่กับความหลังฝังใจ อายลูกหลานจนแม้กระทั่งไม่อยากพบหน้าหลานที่เกิดใหม่ด้วยซ้ำ แต่เลือกอยู่กับความจริงจอมปลอม ถ่ายรูปไปวันๆ

ตอนที่มาตามฆ่ากันในป่านั้น สองคนนี้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ วิวในหนังสวยมาก ให้บรรยากาศที่สวยงาม สงบ หดหู่บ้าง ไม่ตื่นเต้นดุเดือด แต่ออกไปทางสงสารตาแก่สองคนนี้มากกว่า

ทั้งเรื่องเล่นกันอยู่สองคนกลางป่า

ชอบที่สุดคือ มุกของปู่โรเบิร์ตที่เล่าให้ลุงจอห์นฟังว่า สมัยหนึ่งในสงครามมีหญิงสาวคนหนึ่งหนีภัยไปหลบอยู่บ้านชายหนุ่มคนหนึ่ง คราวนี้อยู่ไปนานๆ เข้า สาวคนนั้นก็เกรงใจ เลยตอบแทนบุญคุณของชายหนุ่มด้วยการอมจุ๊บุให้ ปรากฎว่าหนุ่มคนนี้ แกเป็นคนมีศีลธรรมครับ แกไปสารภาพบาปกับพระในโบสถ์ หลวงพ่อก็บอกว่า ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย คนเราทำผิดพลาดกันได้

พ่อหนุ่มบอกว่า...แต่...หลวงพ่อครับ ผมควรจะบอกเธอดีไหมครับว่า สงครามสงบไปนานแล้ว?

มุกของปู่โรเบิร์ตแกขำคนเดียว ลุงจอห์นเป็นชาวบอสเนียไม่เก็ตสักนิด แต่ตอนจะจบมุกนี้ก็ทำได้ดี คือ มันสะท้อนว่า สงครามจริงจบไปนานแล้วโว้ย เราจะมาฆ่ากันตอนนี้ทำไม

ผมชอบเรื่องนี้มากครับ ทั้งการแสดง การถ่ายมุมมองแปลกๆ ในป่า มันทำให้ผมนึกว่า สงครามที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ก็คือ สงครามในใจของเรานี่แหละ

เรื่องนี้ผมให้คะแนน Preeda Star 5/5 ครับ

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พุทธ vs คริสต์ ไฝว้กันเมื่อเกือบ 140 ปีที่แล้ว


หนังสือเล่มนี้ผมอ่านม้วนเดียวจบ สารภาพตามตรงว่า เข้าใจทั้งหมดไม่ถึง 30% แต่ที่รู้คือ เมื่อสมัยเมื่อเกือบ 140 ปีมาแล้วนั้น นักการศาสนาทั้งพุทธและคริสต์ "ถก" กันรุนแรงมาก แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า โต้วาที แต่เนื้อหานั้นหนักไม่ใช่น้อย เพราะ

พุทธเองก็ขุดโคตรเหง้าโมเซ (โมเสส) เอามาด่า บางครั้งก็โจมตีพระเยโฮวาตรงๆ ตอนที่พูดถึงพระแม่มารีนั้น โต้ว่ามารีเป็นทั้งเมีย แม่ และลูกของพระเจ้า งงเมพ เพราะพระแม่มารีเป็นหญิงพรหมจรรย์ เท่ากับว่าการปฏิสนธินั้นเกิดกับพระเจ้า เลยเป็นเมีย พระเจ้าลงมาเกิด  (พระเยซู)  กลายเป็นแม่ ต่อมาในฐานะคริสต์ชนก็เป็นลูกอีก

นอกจากนั้น ตามความคิดของผม ผมเห็นว่า เข้าขั้น ด่าพ่อล่อแม่ กันทีเดียว

ส่วนฝั่งคริสเตียนก็ใช่ย่อย เริ่มละเลงเวทีก่อนโดยอ้างคำบาลีมาเป็นยก ซึ่งผมก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกับความหมายเท่าไหร่ นัยว่าเป็นพระอภิธรรม เริ่มจากการโจมตีมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งลำพังตัวพระสูตรก็ยากแก่การทำความเข้าใจแล้ว ดันเอานักบวชศาสนาคริสต์มาอธิบายยิ่งยากใหญ่

จากนั้น ยกต่อมา แกว่าพระพุทธเจ้านั้นแย่มาก ด่าไปถึงชาติปางก่อนว่า ทิ้งลูกทิ้งเมีย ยกให้ใครก็ไม่รู้ ยังงี้ไม่น่าให้อภัย ส่วนเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิปรายคือ ทัศนคติความเชื่อในเรื่องของวิญญาณ และแถมด้วยว่า ถ้าวิเศษจริง ทำไมปล่อยให้แม่ตายในวันที่ 7 หลังคลอด

อันนี้ ผมว่าโดยภาพผิวเผินนั้น แตกต่างกัน พุทธเราเชื่อเรื่องกรรม คริสต์เชื่อโลกหน้า แต่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พุทธไม่มีพระเจ้า คริสต์มีผู้สร้าง

เถียงกันในมุนนี้ทั้งคู่ ยกบาลีมาว่ากันไปมา ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

หนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นหนังสือหายากเล่มหนึ่ง ผมโชคดีที่เจอ สำหรับข้อมูลการแบทเทิลของทั้งสองท่านนี้คือ

1. เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 26, 28 สิงหาคม 2416 ณ บริเวณบ้านพักตากอากาศปานะทุระ ใกล้นครโคลอมโบ ศรีลังกา
2. ระหว่าง พระมิเคตตุวัตเต คุณานันทะเถระ กับ นักบวชเดวิด เดอ ซิลวา กับคณะ
3. บันทึกการโต้วาทีครั้งนี้ (เป็นภาษาอังกฤษ โดยคนอเมริกัน) พิมพ์เป็นหนังสือที่แพร่หลายมากในอเมริกาและยุโรป
4. คนที่มีบทบาทในการฟื้นฟูศาสนาพุทธระยะ 100 กว่าปีก่อนหน้านี้ เป็นชาวอเมริกัน
5. หนังสือเล่มนี้ พิมพ์โดยมหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ มกราคม 2543

ลองไปหาอ่านมาประดับความรู้กันครับ ผมยืมเล่มนี้มาจากห้องสมุดมหาลัยกรุงเทพ


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Like A Virgin: คิดแบบเวอร์จิ้น



หนังสือเล่มนี้หนาเอาการ 300 กว่าหน้า ผมใช้เวลาอ่านประมาณ 3-4 วัน ด้วยความสนุกสนาน เพราะท่านเซอร์ริชาร์ด เป็นคนเก่งจริงๆ นี่เป็นหนังสือเล่มแรกของท่านที่ผมได้ลิ้มรส

ความเป็นผู้ประกอบการดูเหมือนจะง่าย เมื่อคิดแบบเวอร์จิ้น ผู้เขียนได้ให้หลักการที่ผมเองก็ได้ยินได้ฟังมาเยอะ แต่ในภาษาของเขานั้นสนุกดี ย่อยง่าย

ผมคิดว่า คนที่เรียนวิชาผู้ประกอบการทั้งหลาย ควรจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง แม้นไม่ได้มีทฤษฎีอะไรมากมาย แต่ตัวอย่างและแนวทางที่ท่านเซอร์ฯ ได้ว่าไว้ ก็น่าสนใจไม่น้อย

แนะนำให้อ่านได้ทั้ง เอาจริงจัง ขำขัน และฆ่าเวลาครับ สนุกได้สาระ

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

Only God Forgives


จริงๆ ผมว่าจะเขียนรีวิวหนังเรื่องนี้มาพักหนึ่ง แต่ไม่มีเวลา วันนี้มาออฟฟิศเร็ว ก็เลยลองปั่นรีวิวดู
หนังเรื่องนี้โรคจิตครับ ดูได้เรื่อยๆ ต้องคิดเยอะๆ ใช้สมองมาก เหนื่อย ทำงานมาเหนื่อยๆ ต้องเสียเงินมานั่งดูหนังป่วยจิตให้เหนื่อยอีก ถ้าชอบบู๊ล้างผลาญ ไม่คุ้ม ไปดูเรื่องอื่นดีกว่า
แต่ถ้าชอบภาพสวยๆ ของกรุงเทพยามราตรี พับผ่าสิ ฝรั่งมันถ่ายได้อารมณ์ดิบจริงๆ
ฉากต่อสู้ สวยมาก ดูเป็นมวยไทยดี สารวัตรจอมเผด็จการดูมีฝีมือจริงๆ จังๆ มาก
นอกนั้น สิ่งที่ประทับใจผมมากๆ คือ เพลงประกอบ ที่สารวัตรในโปสเตอร์ร้อง เป็นเพลงไทยทั้งหมด เพราะมาก ให้ความรู้สึกที่ลึกลับ เจ็บปวด ซ่อนความขมขื่น เก็บกด และการปลดปล่อย
ถ้าอยากใช้สมองคิดต่อ คิดตามหลังหนังจบ ผมแนะนำครับ ถ้าอยากดูให้รู้เรื่องก่อนไปดูในพันทิพย์ครับ สปอย์จนเสียคน เสียหนังเลย

สรุป ถ้าไม่เพลียกับชีวิตมากนัก สามารถดูหนังเรื่องนี้ได้ครับ ผมให้สัก 3 ดาวแบบมั่วๆ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีชาวโลก



“เธอคำนับทำไม”

“เพราะเธอตอบคำถามฉันได้เข้าท่ามากนะสิ”

“แต่คำตอบไม่มีค่าอะไรให้ต้องคำนับเลย” มิกะพูด “ถึงแม้มันจะฟังดูฉลาดหรือถูกต้อง เธอก็ไม่ควรคำนับให้มันอยู่ดี”

ลุงพยักหน้า รู้สึกเสียใจที่คำนับให้คำตอบของมิกะ

“เมื่อเธอคำนับนั่นเป็นการสร้างหนทาง” มิกะพูดต่อ

“แต่เวลาเธอตอบ นั่นไม่ใช่การสร้างหนทาง”

“ทำไมล่ะ”

“คำตอบคือถนนที่ทอดยาวอยู่เบื้องหลังเธอเสมอ มีเพียงคำถามเท่านั้นที่เปิดทางสู่ข้างหน้า”
 
*****************

ผมขุดเจอหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ในห้องสมุดมหาลัยเจอโดยบังเอิญ ลองหยิบมาอ่านดู เพราะไม่ได้อ่านวรรณกรรมเยาวชนมานานมากแล้ว 

เราต่างคนก็ต่างเป็นมนุษย์ต่างดาวสำหรับกันและกัน มิกะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มาเยี่ยมโลกโดยบังเอิญ ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ และการเรียนรู้ว่า คนอื่นเขาคิดอย่างไร

ผมเป็นคนที่เชื่อในความสำคัญของคำถามมาก เชื่อมานานแล้ว มิกะยิ่งให้เหตุผลสนับสนุนที่น่ารับฟังยิ่ง

หนังสือเยาวชน อ่านง่าย อ่านสนุก น่าที่จะอ่านอย่างมากในปัจจุบันท่ามกลางความขัดแย้งที่หาเหตุผลไม่เจอ 

เราก็ต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันทั้งสิ้น ดังนั้น เราลองลงมาคุยกันดีๆ จะดีไหม? 




วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความยิ่งใหญ่ของ ปตท.

ปตท. เป็นบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียวที่มีชื่อติดอันดับฟอร์จูน 100 หากจับประเด็นเพียงผิวเผินอาจจะทำให้นึกได้ว่า ปตท. เป็นบริษัทที่เรียกกว่า โกลบอล คอมปานี หรือบริษัทที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่ระดับโลกแล้ว
ยิ่งเราได้เห็น ปตท. ขยายการลงทุนไปยังต่างแดนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น แต่ความหมายของการเป็น โกลบอล คอมปานี ที่แท้จริงคือ การที่บริษัทนั้นสามารถผลิตสินค้าหรือบริการส่งขายได้ทั่วโลก เป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง หรือบริษัทนั้นสามารถพัฒนาสินค้าที่มีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้าง ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้สงสัยได้เหมือนกันว่า คนบนโลกนี้เขาจะรู้จัก ปตท. เหมือนที่เรารู้จักกันหรือไม่
ในบ้านเราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปตท. คือบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ในเมืองไทย มูลค่าตลาดของบริษัทในเครือรวมกันก็กินสัดส่วนก้อนใหญ่ที่สุดแล้ว โดยมีปัจจัยที่มาจากหลายสาเหตุ การเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีความได้เปรียบในแง่พื้นฐาน โดยเฉพาะการที่มนุษย์ยังมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่พึ่งพาน้ำมันเป็นพลังงานหลักอยู่อย่างมาก
แต่ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายแบบนี้ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เคยยั่งยืน
เพราะธุรกิจล้วนมีวัฏจักร สั้นยาวแตกต่างกัน ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์แตกต่างอยู่บ้างตรงที่ปริมาณการค้าขายอันมากมายมหาศาล ส่งผลให้วัฏจักรหมุนไปเป็นวงรอบที่ใหญ่พอดู กินเวลายาวนานหลายปีต่อเนื่อง จากนั้นจึงฟุบไปหลายปีต่อเนื่อง แล้วกลับมาขึ้นใหญ่เป็นรอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามแรงผลักระหว่างทั้งอุปสงค์ อุปทาน การเก็งกำไร นโยบาย การเมือง ฯลฯ
ผมมีความเห็นว่า สินค้าโภคภัณฑ์ทำนวัตกรรมได้ยากที่สุด
เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกรรมเชิงปริมาณในพื้นฐาน ค่อนไปทางการเป็นอุตสาหกรรมขั้นปฐมตอนปลาย ต่อไปเรื่องของการแปรรูปนิดหน่อยไม่มากไม่มาย จะว่าเป็นขั้นกลางก็ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก มันลักลั่นกันนิดหน่อย
เมื่อเน้นที่ปริมาณ เวลาทำนวัตกรรมมันก็ต้องทำตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก เพราะมันหมายถึงการลงไปทำการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต้นน้ำมากๆ ลงไปทางการวิจัยพื้นฐานลึกเอาเรื่อง ที่สำคัญคือ ทั้งใช้เวลานาน กินทรัพยากรอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เมื่อไหร่
นวัตกรรมส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆ กันในโลก มักจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ใกล้กับผู้บริโภคสุดท้ายมาก คือ มันมักจะผ่านการแปรรูปร่างจากวัตถุดิบไปมาก จนผู้ใช้คนสุดท้ายไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ก่อนหน้านั้นมันเป็นอะไรมาก่อน
กับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากแร่ธาตุ ทรัพยากรทั้งบนดินหรือใต้ดินนั้น มีการแปรรูปบ้างตามกระบวนการที่จำเป็น แต่ก็เป็นไปเพื่อการจำหน่ายในปริมาณมากเป็นหลัก สายการผลิตมันไปถึงผู้ใช้สุดท้ายค่อนข้างสั้น คือ สูบขึ้นมา กลั่น แล้วก็ส่งไปจำหน่าย ตัดต้นไม้เสร็จ ริดกิ่ง เลื่อยเป็นแผ่น แล้วก็จำหน่าย ปลุกข้าวเสร็จ เกี่ยว นวด สี แล้วก็ขาย
สินค้าโภคภัณฑ์มีสายการผลิตแต่ละช่วงใหญ่ๆ ไม่ซับซ้อน ทำให้เป็นปัญหาพื้นฐานของการทำนวัตกรรม เพราะมันพัฒนาสิ่งใหม่ให้ตลอดช่วงใหญ่ๆ นั้นได้ยากมาก ถ้าจะทำก็มักจะค่อนไปทางตรงปลายก่อนถึงมือผู้ใช้นิดเดียว พูดง่ายๆ คือ มักจะไปทำนวัตกรรมกันตรงไม้สุดท้ายก่อนถึงมือผู้บริโภค
ปตท. กำลังท้าทายความยากลำบากตรงนี้ครับ ด้วยการกำหนดเป้าหมายยากๆ ไว้สามสี่เรื่อง
เริ่มจากการตั้งเป้าว่า ภายในปี ค.ศ.2020 บริษัททั้งหมดในเครือรวมกันจะต้องมีรายได้มากกว่าร้อยละ 20 มาจากสินค้าที่ขายด้วยพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี
พูดให้ง่ายคือ ทุกๆ 100 บาทของรายได้ ต้องมี 20 บาทที่ได้มาจากนวัตกรรม นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย กับบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก แต่ถ้าทำได้จริงก็น่าจะเป็นต้นแบบของการพัฒนานวัตกรรมให้กับบริษัทอื่นอย่างน่าสนใจ
อย่างที่สองคือ การกำหนดภารกิจการลงทุนเพื่อนวัตกรรมที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ร้อยละ 3 ของกำไรต้องเอามาลงทุนวิจัยและพัฒนา และต้องรักษาระดับของการลงทุนอย่างนี้เอาไว้อย่างต่อเนื่อง ตัวเลขในระดับนี้ นับว่าเหมาะสมทีเดียว เพราะเรากำลังพูดถึงการลงทุนวิจัยในหลักหลายพันล้านบาทในหัวข้อที่จำกัดขอบเขตที่พลังงานและปิโตรเคมี
ปตท. จึงเสมือนกับเป็นหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ที่ใช้งบประมาณระดับหลายพันล้านบาทเช่นกัน แต่โฟกัสหัวข้อที่แคบกว่ามาก ไม่กระจัดกระจาย ทำให้พอเห็นแสงสว่างตรงปลายทางบ้าง
เรื่องที่สามคือ การมุ่งไปที่การสร้างบริษัทให้เป็นผู้ขายเทคโนโลยีเองบ้าง ไม่ใช่รับซื้อจากผู้อื่นอย่างเดียว อันนี้ ผมถือว่าเป็นการตั้งเป้าหมายที่ยากอย่างแท้จริง
เพราะการเป็นผู้ที่จะสามารถขายเทคโนโลยีได้นั้น ในกระเป๋าต้องเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายก่ายกอง ถ้าพูดถึงทรัพย์สินทางปัญญาก็น่าจะต้องมีสิทธิบัตรเป็นหลักพันในบริษัท
อันนี้ ผมคิดว่า เป็นฝันที่ดี แม้วันนี้จะยังอยู่อีกห่างไกลมากก็ตาม แต่หากไม่มีเป้าหมายให้ฝัน ก็จะไม่มีวันไปถึง
สุดท้ายคือ การกำหนดเป้าหมายที่มุ่งไปยังระดับปฏิบัติการ ด้วยการตั้งประเด็นที่การรื้อกล่องดำทั้งหลายในระบบที่มีอยู่ขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่ซื้อหามาในอดีต เขาทำให้ เราก็เป็นผู้โอเปอเรต ใช้อย่างเดียว เสียก็ซ่อม หรือไม่ก็ซื้อใหม่ แต่ไม่เคยไปสนใจว่า มันทำขึ้นมาอย่างไร เราจะปรับให้มันดีขึ้นได้ไหม หรือเราน่าจะมีระบบที่เราพัฒนาขึ้นเองได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ ล้วนเชื่อมโยงกับอีกสองสามข้อข้างต้นอย่างมาก และท้าทายบริษัทอย่างยิ่ง
ผมเห็นความพยายามของ ปตท. ในเรื่องนวัตกรรมแล้ว รู้สึกดีใจ มีความหวังกับประเทศขึ้นมาบ้าง ผมชอบสโลแกนใหม่ของบริษัทที่พูดว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งชีวิตที่ดีและยั่งยืน
น่าจะเป็นบริษัทไทยขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวที่กล้าพูดแบบนี้ ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกทุนนิยมเสรีนิยม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นหัวใจที่จะทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการบริโภค
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่า บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในโลกที่เรียกว่า บิ๊กไฟว์ นั้น เคยเจอกันมาก่อนทั้งสิ้น ขายของจากธรรมชาติ ก็ต้องสู้กับธรรมชาติ และก็ต้องมีแพ้ธรรมชาติด้วย บริษัทก็ต้องแก้ปัญหาให้ดี อย่างตั้งใจและจริงใจ มันไม่จบในเดือนนี้หรือปีนี้หรอกครับ อีกสิบปีข้างหน้าปัญหามันก็จะยังคงเหลือให้แก้ไข

ต่อให้ทำนวัตกรรมได้เก่งกาจขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง อยู่ที่ความรับผิดชอบต่อสังคมนี่เอง ถ้าทำไม่ได้ ก็จะใหญ่อย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง



พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ 1 สิงหาคม 2556 หน้า 20

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความชราแห่งยุคสมัย


เมื่อวานผมไปเยี่ยมพี่ที่ให้ความเคารพมากที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากที่ไม่ได้พบกันนับสิบปี ผมเอาหนังสือที่เขียนขึ้นมาไปฝากด้วยความระลึกถึง

ทำเนียบรัฐบาลคือที่ที่ผมเคยใช้ชีวิตทำงานอยู่สามปี หลายปีผ่านไป คนชราแต่หมู่ตึกยังคงตระหง่านสง่าดังเดิม ใจคนยิ่งเปลี่ยนแปลง

ผมเดินท่ามกลางความมืด และความเงียบสงบด้วยความครุ่นคิด

ผมนึกถึงวันเก่าที่เดินไปกินข้าวเที่ยงที่ตลาดนางเลิ้ง พบท่านผู้ว่าฯ สมัคร มาเดินซื้อของเป็นประจำ นักการเมืองชั้นครูร่างใหญ่ เสียงดัง อารมณ์ดี เดินในตลาดกลางวันร้อนๆ คนเดียว ไม่มีทีมงานเดินตามหน้าหลัง เราท่านล้วนกินข้าวจากร้านเดียวกัน ชามจานที่ใช้ก็แบ่งกันกินชามเดียวกันนั่นแหละ

วันเหล่านั้น ผมยังจำภาพที่นายกฯ ชวน นั่งสัปหงกหลับคาห้องประชุม ครม. ในขณะที่ฝ่ายข้าราชการประจำรายงานวาระตามปกติ งีบไปสองสามนาที ท่านก็ตามเรื่องทัน ไม่ตกหล่น

วันเหล่านั้น ท่านฯ บรรหารคุยกับนายกฯ ชวน สนิทสนมกลมเกลียว ไม่มีพรรคที่ดีพรรคเลว ไม่มีคนชั่วสุดขั้ว ทุกคนแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีตามโค้วต้า เป็นสมบัติผลัดกันชม คณะรัฐมนตรีเป็นส่วนผสมตลอดเวลา ข้าราชการคือผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง

วันนี้ โลกก็เป็นโลกของมันคงเดิม คนเปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน หมู่ตึกทำเนียบรัฐบาล ตึกแดง ตึกบัญชาการ ตึกไทยคู่ฟ้า ตึก ครม. ยังเหมือนเดิม ข้าราชการยังคงจนเหมือนเดิม

คิดถึงวันเก่า แต่ไม่โหยหา มันเกิดขึ้น ผ่านมาแล้วก็ตายกันหมดเอง

In the long run, we are all dead. 

จะมาทะเลาะกันทำไมครับ

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ฟ้าทะลายโจร

 

"ดำจ๊ะ...ทำไมคนเราต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยนะ ในเมื่อยิ่งโตเรายิ่งเป็นทุกข์"

 

"คงเพราะการมีชีวิตก็คือความทุกข์ทรมานอันยาวนานชนิดหนึ่ง คนเราถึงต้องไขว่คว้าหาความสุข เพื่อมาหล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มชื่น พอที่จะผ่านวันเวลาอันทุกข์ทรมานเหล่านั้นไปได้"


ฟ้าทะลายโจร เป็นหนังสือนิยายที่มีความหนา ๔๗๑ หน้า ผมใช้เวลาอ่านประมาณ ๓ ชั่วโมงจบ

ด้วยความที่เคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อสมัยยังหนุ่มกว่านี้มาก พอเจอหนังสือเล่มนี้ในกรุห้องสมุดมหาวิทยาลัยกรุงเทพ จึงคว้ายืมมาอ่านทันที

เป็นนิยายที่ถอดมาจากบทภาพยนต์โดยแท้

ฟ้าทะลายโจร เป็นเรื่องเศร้า เคล้าควันปืน พระเอกตายตอนจบ นางเอกใช้ชีวิตที่เหลือกับความเศร้า และความอาลัยในรัก

ดำ เป็นพระเอกในอุดมคติ เป็นพ่อพระ ที่กลายเป็นเสือเป็นโจรเพราะความจำเป็น

รำเพย เป็นนางเอกในฝัน ทั้งสวย เรียนเก่ง มีชาติตระกูล

กำจร เป็นพระรองในดวงใจ มีอุดมการณ์ มีความทะเยอทะยาน

ผมคิดว่า ดำ ก็เหมือนกับลี้คิมฮวง ที่มีรักแท้ ไม่ผันแปร ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรัก แม้ต้องตายก็ยอม

โคตรน้ำเน่าเลย

แต่มันเป็นเรื่องราวในยุคสมัยที่รักแท้มีจริง หญิงชายบูชาความรัก ถนอมความบริสุทธิ์เพื่อคนที่ตนรัก เป็นความรักจริงที่มีค่า มีการรอคอย

ลี้คิมฮวง โชคดีกว่าดำ ที่สุดท้ายก็ไม่ตาย และได้คนรักใหม่ที่ดี

ส่วนดำ น่าจะเป็นพระเอกไทยเพียงไม่กี่คนที่ตายในที่สุด ไม่นับโกโบริ หมอนั่นเป็นญี่ปุ่น

ลองหาอ่านดูครับ จะได้หวลถึงยุคสมัยที่ยิงกันหูดับตับไหม้ ถล่มภูเขา เผากระท่อม

สมัยนี้ไม่มีแล้ว นิยายแบบนี้ให้อารมณ์ที่ดีครับ แม้จะเศร้าไปนิดก็ตาม คุณจะไม่เสียดายที่ได้อ่าน




วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

How's it going?

How's it going, Preeda?

This is a question appeared on my facebook update status box. It seems to change words oftenly.

I just want to say I feel terribly tired. I sleep after 2.00am for three days in a row and wake up at 5-6.00am. This is not life, but I see it differently.

My new job is challenging. Eventhough I miss my ex-job time to time, the new job at Bangkok University does give me a kick.

I work like 12 - 15 hours a day for this Uni. This is crazy but again I see it differently.

Do I really enjoy my joy? Not like that.

It's more like I had been in a cell for too long. Once I was released, just use up energy daily purposelessly. Don't know the real reason. Just could not explain.

I began to think about my ex-boss, friends, life, family and all other ex-experiences. This is funny. It means I am getting old indeed.

Yes I am getting older everyday. There is no why to get any younger.

So, to answer the Facebook. Hey I am fine. Just a bit tired. That's all. This status might be boring and so simple but it's true.

By the way I am listening to this while I am working on a project drafting.


Enjoy your night! Enjoy my life! Vivo!

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทางเลือกกับคำถามจริยธรรม


คนปกติส่วนใหญ่ เวลาเห็นตำรวจก็ไม่ค่อยหวาดกลัวอะไร นอกเสียจากว่าตอนนั้นจะขับรถขับราอยู่ อย่างนั้นโอกาสของความกลัวจะพุ่งสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะเรามักแอบทำนี่นั่นโน่นซึ่งผิดกฎจราจรกันโดยไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวทำผิด

 

แถวบ้านผม ตอนกลางคืนมักมีตำรวจมาตั้งด่านตรวจเป็นประจำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตรวจอะไร แต่เห็นคนที่โดนเรียกลงมาจากรถเป็นคนต่างด้าวท้าวต่างเมืองบ้าง เป็นหญิงสาวไทยสวยๆ บ้าง ซึ่งไม่รู้จริงๆ ว่า พวกเธอถูกข้อหาอะไร เด็กนักเรียนทั้งขาสั้นคอซองที่ขับรถกันมาเที่ยวกลางคืนบ้าง แล้วที่เห็นเยอะสุดคือ มอเตอร์ไซต์ อย่างหลังนี่ ผมว่าน่าจะเป็นยานพาหนะที่มีโอกาสถูกเรียกได้บ่อยที่สุดบนถนน


มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมเดินเลยด่านตำรวจมานั้น มีวัยรุ่นสองคน ขับมอเตอร์ไซต์ปาดชิดเข้าข้างทางถามผมว่า “เพ่...ข้างหน้ามีด่านตรวจไหม?” ผมตอบทันควันตามสัญชาติญาณว่า “มีครับ”

 

ตอบเสร็จ เขาก็หันหัวมอเตอร์ไซต์เลี้ยวกลับหลังสวนเลนรถยนต์ที่วิ่งมาทันที

 

ทันใดนั้น ผมนึกสะกิดขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากเด็กสองคนนี้มันเป็นคนส่งยาเสพติดล่ะ ผมมิกลายเป็นสมรู้ร่วมคิดให้การช่วยเหลืออาชญากรหรือ ถ้าหากเป็นเด็กกวนเมืองปกติ ประเภทขับแว้น แต่งซิ่ง ก็ยังผิดกฎหมายอยู่ดี หรือดีที่สุดคือ ไม่ใส่หมวก ยังไงก็ไม่ถูกต้อง

 

แต่ถ้าผมโกหกว่า “ไม่มีด่านครับ” มันคงแค้นผมไปนาน บ้านผมอยู่แถวนั้น เขาอาจเรียกพรรคพวกมารุมสหบาทาผมเมื่อไหร่ก็ได้ หรือเผลอๆ ยัดของผิดกฎหมายให้ผมซวยซ้ำซวยซ้อนอีก ครั้นจะโกหกว่า “ไม่รู้ครับ” มันก็ออกจะเสียเหลี่ยมไปหน่อย แหม เพิ่งเดินผ่านข้ามคลองมาหยกๆ โกหกเป็นบาปกรรมเปล่าๆ

 

หรือจะทำนิ่งเฉย ซัดภาษาอังกฤษใส่มั่วไปเลย ให้มันงง อันนี้เอาตัวรอดอย่างเดียว แต่อย่าให้มันเจอเราวันหลังเป็นอันขาด ความเดือดร้อนจะมาเยือน

 

เรื่องแบบนี้คล้ายกับทฤษฎีเกมคือ มีทางเลือกให้เราสองสามทาง และเราต้องเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ซึ่งในกรณีนึ้คือ การพูดความจริงว่า “มีด่านข้างหน้า”

 

แต่เมื่อมองในเชิงจริยธรรมแล้ว ทางเลือกนี้มีปัญหาเชิงเทคนิคัลที่ซับซ้อนพอสมควร เพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องหลายอย่างที่บางเรื่องก็ฟังดูคุ้นหู เช่น การเห็นชายหญิงตบตีกัน แล้วชายร้องตะโกนว่า เรื่องของผัวเมียอย่ามายุ่ง คำถามจริงๆ คือ เราควรจะเฉยๆ เอาตัวรอดไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หรือจะเป็นพลเมืองดี เป็นคนดี ที่ช่วยเหลือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง

 

ผมเชื่อว่า ทุกคนย่อมมีทางเลือกของตัวเอง โดยอาจจะแทบกล่าวได้ว่า ทุกทางที่เลือกไม่ได้เดือนร้อนใครในทางตรง

 

จริยธรรมเลยเป็นของกำกวมที่พูดให้เข้าข้างตัวเองให้ดูดีก็ได้ พูดใส่ร้ายคนอื่นก็ได้ แต่เราไม่รู้หรอกว่า แท้จริงแล้ว เราควรจะมีมาตรฐานทางจริยธรรมของแต่ละคน แต่ละเรื่องอย่างไร

 

ในงานพัฒนานวัตกรรม ผมเคยเจอโครงการหนึ่งที่เจ้าของผลิตชิ้นงานได้มีคุณสมบัติที่ดีมาก เริ่มแรกพยายามเข้าไปขายหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย องค์กรนั้นรับไปพิจารณา ผลปรากฏว่า นวัตกรรมดังกล่าวใช้งานได้ผลดีเกินคาด

 

เสียอย่างเดียวคือ มันใหม่ไปหน่อย เลยไม่มีคู่ให้เทียบในตลาด เมื่อไม่มีคู่แข่ง มันก็ประกวดราคาไม่ได้ เจ้าของก็เลยเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาคือ เปิดอีกบริษัทหนึ่ง ให้มาเป็นนอมินี ส่งสินค้าเข้าแข่งขันเรื่องราคาและคุณสมบัติ ทั้งที่ของทั้งหมดก็มาจากโรงงานเดียวกัน บริษัทสามารถขายของได้ หน่วยงานนั้นได้ของดีไปใช้ แต่ในราคาที่สูงเกินไปหรือเปล่า ไม่มีคำตอบ ทว่าทุกฝ่ายก็ วิน-วิน กันถ้วนหน้า

 

มีอีกโครงการหนึ่ง ขายของเกี่ยวพันกับกฎระเบียบข้อห้ามบางประการ ซึ่งสินค้าเขาไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่เมื่อมีคนคุมกฎเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ต้องมีเรื่องค่าน้ำร้อนน้ำชา เข้ามาเกี่ยวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่เพื่ออำนวยความสะดวก เขาก็ต้องทำ

 

เรื่องทำนองนี้ บริษัทและองค์กรไทยอ่อนแอมาก เราตอบตัวเองไม่ชัดว่า อะไรถูก อะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าถ้ามันเจรจาต้าอ่วยกันได้ลงตัวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการยึดมั่นบางเรื่องมากเกินไป

 

ตรงกันข้าม บริษัทฝรั่งข้ามชาติ เขาถือเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมเคยแหย่พวกนี้เล่นดูเรื่องทำนองอย่างนี้ เขาไม่เอาด้วยเลย บอกว่า บริษัทเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐ กฎหมายที่นั่นสามารถลากเอาตัวเขาเข้าคุกเข้าตะรางได้ แม้ว่าเขาจะทำผิดที่เมืองไทยก็ตาม

 

ด้วยความเกรงกลัวกฎหมายอย่างหนึ่ง และการมีวิจารณญาณที่ชัดว่า อะไรไม่ถูกต้อง ทำให้พวกนี้มีมาตรฐานจริยธรรมที่ค่อนข้างเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน

 

ผมคิดว่า เรื่องนวัตกรรมกับจริยธรรมนั้น มีบ้างที่พึงทำ มีบ้างไม่พึงกระทำ

 

แปลว่า เราควรมีเส้นบางๆ กำหนดไว้เหมือนกันว่า เราจะไม่ข้ามเส้นนี้ไปเป็นอันขาด แม้ว่ามันจะทำให้เราล้มเหลวก็ตาม หากเราข้ามไป ต่อให้เราสำเร็จในแง่นวัตกรรม เราก็จะทำผิดต่อมโนธรรมในเรื่องความถูกต้อง

 

นึกย้อนกลับไปดูอดีต ก็พบว่า พวกเราได้พัฒนานวัตกรรมกันมาในแนวทางที่เรียกว่า ขายให้ได้ก่อน เรื่องอื่นมาทีหลัง แปลว่า ช่างผู้บริโภคประไร ตราบใดที่เราไม่ได้ทำขัดกับกฎหมาย เรื่องจริยธรรมไม่ใช่เรื่องของเรา

 

เราจึงเห็นสินค้าบางชนิด สื่อสารกับเราให้รับรู้ว่า มีคุณสมบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งที่ตัวมันไม่ได้มีคุณสมบัติอย่างนั้น ดูในฉลากหรือหีบห่อ ก็ไม่มีตรงไหนบอก เราคิดไปเองทั้งสิ้น ตามสิ่งที่เอเจนซี่หรือเจ้าของเขาวางไว้ให้เราคล้อยตาม เราในฐานะผู้บริโภคก็จดจำสิ่งผิดๆ นี้ไปบอกปากต่อปากกัน จนสังคมส่วนใหญ่เข้าใจไปอย่างนั้นกันเกือบหมด

 

ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลาที่บรรดานวัตกรทั้งหลาย ควรหันมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยิ่งเรากำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีก 6 เท่า เรายิ่งควรที่จะต้องรักษามาตรฐานเรื่องจริยธรรมของเราไว้ให้แน่น เพราะรับรองได้ว่า มาตรฐานของอีก 9 ประเทศนั้น ไม่เหมือนเราแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ผู้บริโภคส่วนหนึ่ง คงหันมาเลือกสินค้าและบริการที่ถูกสร้างมาอย่างถูกต้องตามจริยธรรมมากที่สุด

 

จะใช่เราหรือไม่ใช่เราก็แล้วแต่ สุดท้ายสิ่งที่จริยธรรมให้เราได้คือ ความภูมิใจ มันคงกินไม่ได้ แต่อย่างที่กล่าวเอาไว้ว่า เรื่องนวัตกรรมนั้น มีบ้างที่พึงทำ มีบ้างไม่พึงกระทำ ขอให้ท่านโชคดีกับการเลือกข้างที่ถูกต้องครับ

 

เขียน 29 มกราคม 2556

พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ 7 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 20

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

10 แนวโน้มนวัตกรรมในปี 2556

แนวโน้ม 10 นวัตกรรมที่คาดว่าจะได้เห็นในปี 2556 มีดังนี้ครับ

1. เทคโนโลยีเชื่อมสังคม (Social Everything) ในชีวิตปัจจุบันและในอนาคตที่จะมาถึงนี้ เราถูกเทคโนโลยีเชื่อมเข้าด้วยกัน ซึ่งส่งผลมหาศาล ไม่ใช่เฉพาะกับบุคคลธรรมดาเท่านั้น แต่กับธุรกิจหรือองค์กรเองก็หนีไม่พ้น เทคโนโลยีเชิงโซเชี่ยลได้กลายเป็นแกนกลางในการทำงาน การบริหารองค์กรระยะต่อไปจึงถูกขับเคลื่อนด้วยฐานตัวนี้จากภายใน ส่งผลให้ธุรกิจเปิดกว้าง มีความคล่องตัวมากขึ้น เพิ่มศักยภาพในการค้าการพาณิชย์ และอาจทำให้องค์กรอ่อนไหวต่อการถูกโจมตีได้ด้วยเช่นกัน การปรับตัวองค์กรเข้าหาเทคโนโลยี และหลอมธุรกิจของตนเข้ากับเครือข่ายสังคมออนไลน์จึงเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ขององค์กร กระบวนการสื่อสารและการตลาดจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก แนวโน้มนี้จะพุ่งขึ้นสูงตามความต้องการของผู้บริโภคที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการเพิ่มจำนวนของสมาร์ทโฟนและการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ

2. สมาร์ทแมชชีน (Smart Machine) ปี 2556 เราจะเห็นข่าวการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในเรื่องหุ่นยนต์ พร้อมกับการสร้างเครื่องมือ เครื่องจักรที่ชาญฉลาดมากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องปัญญาประดิษฐ์ในแบบฉบับที่สมบูรณ์เหมือนในภาพยนต์ฮอลลีวู้ดยังอยู่อีกห่างไกล แต่เราจะเห็นพัฒนาการในทิศทางของนวัตกรรมนี้ชัดเจนขึ้น สมาร์ทแมชชีนจะเปลี่ยนโฉมหน้าปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแทนคนในฐานะที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจ ใช้เพื่อทดแทนแรงงานฝีมือราคาแพง หรือใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูง ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีในเรื่องนี้ลงลึกระดับล่างมากขึ้นเรื่อยๆ เราเคยเห็นนักศึกษามากมายพัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อการแข่งขัน และต่อไปเราจะได้เห็นนักเรียนประถมพัฒนานวัตกรรมในเรื่องนี้ด้วย สมาร์ทแมชชีนจะไม่ทำให้คนตกงาน แต่สร้างงานใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาแทนที่ ท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีหุ่นยนต์จะผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เครื่องใช้เครื่องครัวในบ้าน รถยนต์ และเครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้ประกอบการทำงาน

3. ข่าวสารท่วมทวี (Big Data) ณ วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ข้อมูลข่าวสารที่หาได้ในโลกนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด และอัตราการเติบโตของข้อมูลนี้นั้นจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ทำให้เราสามารถจัดการกับข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลได้อย่างเป็นระบบ ง่ายขึ้น เข้าถึงได้สะดวกทุกที่ทุกเวลาตราบเท่าที่มีเครือข่าย และแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย คำถามคือ ถ้าหากเรายังคงเก็บข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในปัจจุบันนั้น เราจะทำอย่างไรกับปัญหาสองประการที่มาพร้อมกัน หนึ่งคือ เรื่องของความปลอดภัย เพราะคลาวด์นั้นง่ายและฟรีก็จริง แต่เราก็เสี่ยงที่ข้อมูลเราจะสูญหายไป หรือมีคนโจรกรรมข้อมูลของเรา อีกเรื่องคือ วันหนึ่งหากเรามีข้อมูลมากเกิน 1,000 Terabytes หรือ 1 Petabyte เราจะจัดการกับข้อมูลมหาศาลนี้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพในระดับบุคลมากที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนกลับไปยังองค์กรว่า จะจัดการกับฐานข้อมูลของตัวเองอย่างไรด้วย เพราะแนวคิดของการจัดเก็บคลังข้อมูลไว้เพียงที่ใดที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ล้าสมัยและมีความเสี่ยงมากเกินไป ระบบการจัดเก็บแบบพหุจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับองค์กร

4. กายภาพบูรณา (Integration of Physical) เราจะเห็นของกายภาพในแบบเดิมน้อยลงทุกที ตั้งแต่กล้องถ่ายรูป เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องเล่น MP3 ร้านขายของ บัตรเครดิต การประชุม ฯลฯ สิ่งที่มีลักษณะจับต้องได้จะพัฒนาไปเป็นรูปแบบดิจิตอลที่เข้าถึงง่ายและบูรณาการทั้งหลายทั้งมวลเข้าด้วยกันในอุปกรณ์เดียวกัน ซึ่งในเวลานี้คือ สมาร์ทโฟน ดังนั้น สิ่งที่จะตามมาคือ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนแพลทฟอร์มโมบาย ซึ่งจะตามมาเป็นระลอก คลื่นลูกเก่าจะเกิดและหายไปอย่างรวดเร็ว โดยมีแอพใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ทุกชั่วโมง สิ่งที่มีความเป็นไปได้อย่างมากคือ ในปี 2556 เราจะเริ่มเห็นแอพเด่นๆ ที่เกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพเพิ่มขึ้น แม้แต่การพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจริงก็อาจเริ่มต้นด้วยการเข้าแอพบนสมาร์ทโฟนของเรา ตามด้วยคำแนะนำรายวันตลอดการรักษาผ่านการแจ้งเตือนในแอพ และปิดท้ายด้วยการสรุปข้อมูลการรักษาพร้อมทั้งนัดหมายดูอาการบนปฏิทินส่วนตัวของเรา

5. เอาท์ซอร์สกลับทิศ (Reverse Outsourcing) ตอนที่เรามีกระแสโลกาภิวัตน์ใหม่ๆ เราเห็นทิศทางการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงานมายังซีกโลกตะวันออก แต่ปัจจุบันนี้เราต้องยอมรับว่าโลกนี้แบนจริงๆ ขอบเขตระหว่างประเทศและระบบเศรษฐกิจบางลงทุกขณะ ดังนั้น ภาพที่เราอาจจะได้เห็นกันต่อไปคือ การส่งงานไปยังตะวันตกจากโลกตะวันออก นั่นคือ ประเทศที่กำลังพัฒนาส่งงานเฉพาะบางอย่างไปให้แรงงานในโลกที่พัฒนาแล้วทำ ก่อนจะประกอบบูรณาการเข้าอีกครั้งในประเทศที่สามก็ได้ แนวโน้มนี้ไม่ใช่การส่งงานยากหรืองานไฮเทคกว่าไปให้คนที่เก่งกว่าทำ แต่เป็นแนวทางของการ “กระจาย” งานไปให้ตามที่ซึ่งมีความสามารถหลักตรงตามความต้องการ ดังนั้น ข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากนี้ไปจึงไม่ใช่เรื่องของค่าแรง แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการผลิต ประสิทธิภาพในการผลิต และศักยภาพในการทำนวัตกรรม

6. โทรทัศน์เปลี่ยนโฉม (TV Transform) ปีที่ผ่านมาเราได้ยินเรื่องของสมาร์ททีวี แต่ยังไม่โด่งดังเปรี้ยงปร้างมากเท่าไหร่ ปี 2556 น่าจะมีผู้เล่นเข้ามาในวงการทีวีอัจฉริยะมากขึ้น พร้อมกับผู้พัฒนาคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ไม่ได้หมายถึง รายการโทรทัศน์ แต่เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับทีวีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มที่แตกต่างจากโมบายคอนเทนต์มาก และการเชื่อมโยงระหว่างการอยู่กับที่เพื่อดูทีวี กับประสบการณ์จากโลกภายนอกจะทำให้โลกทัศน์ของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไป แอปเปิ้ลเองก็ยอมรับมานานว่าสนใจในอุตสาหกรรมนี้ และน่าที่จะซุ่มทำอะไรไว้อยู่ ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นในปีนี้ก็ได้

7. ธนาคารหมดยุค (Reshaping Banks) ระบบการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่ออะไรต่ออะไรต่างกลายเป็นของเสมือนบนโลกดิจิตอลกันเกือบหมดแล้ว ภาพที่เราเคยคุ้นชินกับการที่ลูกค้าเข้าคิวยืนรอในธนาคารทุกวันสิ้นเดือนอาจกลายเป็นอดีต เมื่อธุรกรรมทั้งหลายสามารถทำได้ทางอินเทอร์เน็ต และที่สำคัญคือ บทบาทของธนาคารในฐานะเป็นผู้เล่นสำคัญของการปริวรรตเงินตรานั้นอาจสูญเสียให้กับแนวโน้มใหม่ของการลงขันกันเพื่อช่วยเหลือชุมชนของตัว ซึ่งเป็นแนวทางที่ใหม่มากในโลกซึ่งเรียกกันว่า Crowdfunding เมื่อผู้มีความคิดดีไม่มีเงินลงทุนเพียงพอ แต่มีคนเห็นโอกาสจึงช่วยกันระดมทุนช่วยเหลือคนละเล็กละน้อยแล้วสามารถทำให้โครงการเกิดขึ้นได้ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและมีเงื่อนไขบังคับน้อยกว่าการกู้ยืมเงินจากธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเครือข่ายของชุมชนเสมือนครอบคลุมเพียงพอ อาจไม่มีแม้แต่ความจำเป็นที่จะต้องลงขันกันเป็นเงินสด แต่สามารถลงทุนร่วมด้วยการ “แลกเปลี่ยน” วัตถุดิบที่ต่างฝ่ายต่างมี เข้าร่วมในโครงการกลายเป็นเจ้าของร่วม หรือรับผลประโยชน์ในทางพาณิชย์ด้วยกัน 

8. เครือข่ายเป็นภัย (Security Threat) เนื่องจากความนิยมชมชอบในการใช้เฟซบุ๊คของประชาชนซึ่งในนั้นมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานและเป็นลูกจ้างมากที่สุด จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ข้อมูลหรือความลับขององค์กรจะถูกเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ค หรือแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวพันตัวอื่น นอกจากนี้ การที่พนักงานมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์แบบ “สมาร์ท” ของตัวเอง ซึ่งอาจมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีกว่าอุปกรณ์ที่บริษัทแจก ทำให้พนักงานใช้งานเครื่องมือของตนร่วมกับเครื่องมือของบริษัทปะปนกัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการถูกโจมตีจากไวรัสคอมพิวเตอร์ น่าเสียดายที่แนวโน้มนี้เป็นของจริงที่หยุดไม่อยู่ มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นขาเดียวเท่านั้น

9. เกมคลั่ง (Gamification) เกมตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะไม่ได้เป็นแค่เกมเพื่อความสนุก ที่ผลิตโดยบริษัทเกมเท่านั้น แต่เป็นเกมที่บริษัทซึ่งทำมาค้าขายในสินค้าหรือบริการอื่น หันมาสร้างเพื่อให้ผู้บริโภคสนใจและเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของตนผ่านการเล่นเกมมากขึ้น เกมจึงกลายเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทั้งการประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การทำซีเอสอาร์ การหาความต้องการใหม่ การสำรวจผู้บริโภค การสื่อสารทางตรงกับลูกค้า ฯลฯ แน่นอนว่า บริษัทเหล่านี้อาจไม่ได้ผลิตเกมด้วยตัวเอง แต่ไปจ้างบริษัททำเกมจริงๆ มาช่วยทำการผลิตเกมให้ตรงกับสเปกที่ตัวเองต้องการ ประเด็นสำคัญคือ เกมจะเข้ามามีบทบาทโดยตรงต่อการประชาสัมพันธ์และการตลาด ผู้บริโภคก็ชอบ และไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้สนใจสินค้าหรือบริการอย่างเดียว แต่สนุกไปกับการรับ “สาร” ที่บริษัทต้องการ “สื่อ” ด้วย

10. การศึกษาเพื่อปวงชน (Tuition-free education) เรื่องที่ผมเก็บไว้ท้ายที่สุดนี้น่าสนใจทีเดียว เป็นแนวโน้มที่ค่อยๆ เกิดในปี 2555 และน่าจะลุกลามต่อไปอีก 2-3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย ถามว่าจะถึงขนาดเปลี่ยนแปลงวงการศึกษาในปัจจุบันหรือเปล่า ผมเชื่อว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เส้นแบ่งระหว่างการศึกษาในระบบกับการศึกษาอย่างอิสระเหลือน้อยลง เป็นเรื่องที่เข้ามาคั่นตรงกลางระหว่างห้องเรียนกับอีเลิร์นนิ่งที่เป็นกระแสในอดีต รูปแบบการศึกษาใหม่นี้ ตั้งอยู่บนฐานของการพัฒนาหลักสูตรที่มีมาตรฐานสูงแบบให้เปล่า มีกลุ่มสนับสนุนคอยช่วยเหลือผ่านเครือข่าย มีแม้แต่อาจารย์จริงๆ ในมหาวิทยาลัยจริงๆ คอยตอบคำถาม ดังนั้น เรื่องคุณภาพของคนที่เรียนในรูปแบบนี้ไม่ใช่ประเด็น เพราะเรื่องที่ซ่อนอยู่คือ การเกิดแรงงานที่มีฝีมือเฉพาะในจุดใหม่ๆ ของโลกโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งคนเหล่านั้นอาจสามารถเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ชั้นสูงได้โดยที่ไม่เคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ซึ่งหมายความว่า ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและแรงงานน่าจะเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว ใครสนใจลองเข้าไปดูตัวอย่างได้ที่ www.khanacademy.org และ www.uopeople.org


ทั้ง 10 แนวโน้มนี้ มีทั้งเรื่องที่เป็นปัญหาและโอกาส การรู้ก่อนและเตรียมตัวแต่เนิ่นน่าที่จะช่วยให้เราอยู่ในสนามแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างแข็งแรงครับ


พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจวันที่ 3 มกราคม 2556 หน้า 20

ปีใหม่ รองเท้าเก่า ความฝันที่ยิ่งใหญ่


ขึ้นปีใหม่ทั้งที ในฐานะที่เป็นคนชอบขีดเขียน ก็สมควรบันทึกเรื่องดีๆ ไว้เสียต้นปี เพื่อเป็นศรีแก่ตัวเอง
เผอิญวันนี้ตื่นมาวิ่งแต่เช้ามืด ตีสี่ครึ่ง เจอคนหนุ่มสาวสามคนชายหนึ่งหญิงสอง พากันพยุงกึ่งคลานออกมาจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดในคอนโด ก่อนที่หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งปล่อยอาเจียนออกมาเสียงดังตรงข้างทางก่อนเดินเข้าตึก ส่วนผมนั้นวิ่งอยู่ห่างๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ และผมก็วิ่งทับรอยอาเจียนแบบนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ครั้นนึกขึ้นได้ว่า รองเท้าของเราคู่นี้ช่างเป็นเพื่อนยากที่อยู่กันมาหลายปีดีดัก ผมรักเขามาก แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็กำลังเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวผมก็คงต้องสวมรองเท้าคู่ใหม่ซึ่งซื้อเก็บไว้มานานแล้ว

ฉับพลัน ผมก็นึกแวบขึ้นมาในใจทันทีว่า ชีวิตเรานี่หนอก็เหมือนรองเท้าเพื่อนเกลอนี้เสียจริง ต่อให้มันดีแค่ไหน ทำงานมาหนักหนาสาหัสแค่ไหน

สุดท้ายมันก็ต้องสึกต้องหรอไปตามสภาพ ก็เหมือนกับตัวเรานี่แหละ

เกิดมาเป็นคน คนที่ขายเวลาในชีวิตแลกกับค่าจ้างรายเดือน สุดท้ายไม่วันใดก็วันหนึ่ง ย่อมมีคลื่นใหม่เข้ามาในการทำงาน เขาเก่งกว่า สดกว่า เราก็ต้องถอยให้เขาไป ต่อให้มีประสบการณ์อย่างไร วันหนึ่งก็ต้องแพ้ความชรา ชีวิตการทำงานแบบเป็นลูกจ้างมันก็คืออย่างนี้ เราคือผู้ถูกเลือก แม้ว่าเราจะเลือกที่ทำงานได้ แต่เราเลือกนายไม่ได้ เมื่อเราเลือกนายไม่ได้ เราก็กำหนดชีวิตเราเองไม่ได้ทั้งหมด เสี้ยวหนึ่งอย่างไรก็เป็นของนาย

และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอ่อนแรงเต็มที วันนั้น เราอาจจะพ่ายทั้งกายทั้งใจให้กับคนอื่นที่เขายังไหว ในขณะที่เราหมดแรงชั่วคราวก็เป็นไปได้ การเป็นลูกจ้างทำให้เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน

หากเราเป็นเจ้าของรองเท้า แม้รองเท้าคู่นั้นจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อมันหมดสภาพ เราก็ต้องทิ้งมันไป

ผมเดินทางมาถึงกลางคนแล้ว และปีใหม่ที่ผ่านมา มันทำให้ผมเขยิบเข้าไปหาความชรามากขึ้นๆ ทุกปี แล้ววันหนึ่งเราก็จะกลายเป็นรองเท้าวิ่งเก่าๆ ขาดๆ แม้จะมีคราบรอยของความช่ำชองสนามมากแค่ไหน มันก็คือรองเท้าที่ไม่มีนักวิ่งอยากจะสวมมันเพื่อลงแข่งขัน

มีทางไหนได้บ้างไหมที่ผมจะสามารถเอาชนะคราบความชราในชีวิต?

เมื่อเราแก่ลงกว่านี้อีกสักสิบปี สิบห้าปี เราจะอยู่ตรงไหนในองค์กร เรายังจะมีที่ยืนที่มั่นคงอีกไหมในชีวิต

วิ่งไปพลาง หัวก็คิดไปพลาง แม้นหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจะลากพยุงกันขึ้นตึกไปแล้วก็ตาม แต่สมองมันไม่สามารถหยุดครุ่นคำนึงแบบนี้ พอๆ กับที่ขาและน่องของผมยังคงทำหน้าที่ซ้ำๆ ซากๆ ในการพาสังขารอันเริ่มเหี่ยวย่นไปรอบหมู่ตึกอย่างสงบ

แล้วผมควรจะหาทางออกอย่างไรดี เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นเสมือนรองเท้าเก่าๆ ในองค์กร

ผมสรุปด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วว่า จากนี้ไปเป้าหมายเราคือ การเป็นนักวิ่งสิ ไม่ใช่เป็นรองเท้า เป็นรองเท้าก็แค่ลูกจ้างขายเวลา แต่เป็นนักวิ่งคือผู้กำหนดว่า เราจะวิ่งเส้นทางไหน ยาวนานเท่าใด จะวิ่งเมื่อใด และจะหยุดเมื่อไหร่ ความสุขหรือทุกข์ทั้งหมดย่อมบังเกิดแก่นักวิ่ง ส่วนรองเท้าแม้จะมีความอารีต่อเรามากเพียงไร วันหนึ่งเราก็จะลืมมัน แล้วเราก็ต้องอยู่กับตัวเราต่อไป

ดังนั้น ปณิธานของผมจากนี้ไปอีกสองปี ผมจะมุ่งมั่นกับการเป็นนักวิ่ง ซึ่งในความหมายของชีวิตจริงคือ การกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ผมจะเลิก "วิ่ง" เพื่อแสวงหาเป้าหมายอย่าง “รองเท้าวิ่ง” เสียที แต่จะ "วิ่ง" อย่าง "นักวิ่ง" เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง

มันคงยาก อันที่จริง การตื่นมาวิ่งตอนตีสี่เป็นประจำ มันยากจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถ้าวันนี้ เราไม่ลุกขึ้นมา เราก็จะไม่สามารถวิ่งได้เสียที
 

หมายเหตุ: รองเท้าวิ่งในรูปคือ ASICS รุ่น Kayano Gel ซื้อมาจากช้อปที่ฮาราจูกุ เมื่อปี 2552 ในราคา 7,500 บาท ถ่ายเมื่อ 7 มกราคม 56 ด้วย iPhone