คนปกติส่วนใหญ่
เวลาเห็นตำรวจก็ไม่ค่อยหวาดกลัวอะไร นอกเสียจากว่าตอนนั้นจะขับรถขับราอยู่
อย่างนั้นโอกาสของความกลัวจะพุ่งสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะเรามักแอบทำนี่นั่นโน่นซึ่งผิดกฎจราจรกันโดยไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวทำผิด
แถวบ้านผม
ตอนกลางคืนมักมีตำรวจมาตั้งด่านตรวจเป็นประจำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตรวจอะไร แต่เห็นคนที่โดนเรียกลงมาจากรถเป็นคนต่างด้าวท้าวต่างเมืองบ้าง
เป็นหญิงสาวไทยสวยๆ บ้าง ซึ่งไม่รู้จริงๆ ว่า พวกเธอถูกข้อหาอะไร
เด็กนักเรียนทั้งขาสั้นคอซองที่ขับรถกันมาเที่ยวกลางคืนบ้าง แล้วที่เห็นเยอะสุดคือ
มอเตอร์ไซต์ อย่างหลังนี่
ผมว่าน่าจะเป็นยานพาหนะที่มีโอกาสถูกเรียกได้บ่อยที่สุดบนถนน
มีอยู่วันหนึ่ง
ระหว่างที่ผมเดินเลยด่านตำรวจมานั้น มีวัยรุ่นสองคน ขับมอเตอร์ไซต์ปาดชิดเข้าข้างทางถามผมว่า
“เพ่...ข้างหน้ามีด่านตรวจไหม?” ผมตอบทันควันตามสัญชาติญาณว่า “มีครับ”
ตอบเสร็จ
เขาก็หันหัวมอเตอร์ไซต์เลี้ยวกลับหลังสวนเลนรถยนต์ที่วิ่งมาทันที
ทันใดนั้น
ผมนึกสะกิดขึ้นมาในใจว่า ถ้าหากเด็กสองคนนี้มันเป็นคนส่งยาเสพติดล่ะ ผมมิกลายเป็นสมรู้ร่วมคิดให้การช่วยเหลืออาชญากรหรือ
ถ้าหากเป็นเด็กกวนเมืองปกติ ประเภทขับแว้น แต่งซิ่ง ก็ยังผิดกฎหมายอยู่ดี
หรือดีที่สุดคือ ไม่ใส่หมวก ยังไงก็ไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าผมโกหกว่า
“ไม่มีด่านครับ” มันคงแค้นผมไปนาน บ้านผมอยู่แถวนั้น เขาอาจเรียกพรรคพวกมารุมสหบาทาผมเมื่อไหร่ก็ได้
หรือเผลอๆ ยัดของผิดกฎหมายให้ผมซวยซ้ำซวยซ้อนอีก ครั้นจะโกหกว่า “ไม่รู้ครับ”
มันก็ออกจะเสียเหลี่ยมไปหน่อย แหม เพิ่งเดินผ่านข้ามคลองมาหยกๆ
โกหกเป็นบาปกรรมเปล่าๆ
หรือจะทำนิ่งเฉย
ซัดภาษาอังกฤษใส่มั่วไปเลย ให้มันงง อันนี้เอาตัวรอดอย่างเดียว
แต่อย่าให้มันเจอเราวันหลังเป็นอันขาด ความเดือดร้อนจะมาเยือน
เรื่องแบบนี้คล้ายกับทฤษฎีเกมคือ
มีทางเลือกให้เราสองสามทาง และเราต้องเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ซึ่งในกรณีนึ้คือ การพูดความจริงว่า “มีด่านข้างหน้า”
แต่เมื่อมองในเชิงจริยธรรมแล้ว
ทางเลือกนี้มีปัญหาเชิงเทคนิคัลที่ซับซ้อนพอสมควร
เพราะมันเกี่ยวพันกับเรื่องหลายอย่างที่บางเรื่องก็ฟังดูคุ้นหู เช่น
การเห็นชายหญิงตบตีกัน แล้วชายร้องตะโกนว่า เรื่องของผัวเมียอย่ามายุ่ง คำถามจริงๆ
คือ เราควรจะเฉยๆ เอาตัวรอดไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย หรือจะเป็นพลเมืองดี เป็นคนดี
ที่ช่วยเหลือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
ผมเชื่อว่า
ทุกคนย่อมมีทางเลือกของตัวเอง โดยอาจจะแทบกล่าวได้ว่า
ทุกทางที่เลือกไม่ได้เดือนร้อนใครในทางตรง
จริยธรรมเลยเป็นของกำกวมที่พูดให้เข้าข้างตัวเองให้ดูดีก็ได้
พูดใส่ร้ายคนอื่นก็ได้ แต่เราไม่รู้หรอกว่า แท้จริงแล้ว
เราควรจะมีมาตรฐานทางจริยธรรมของแต่ละคน แต่ละเรื่องอย่างไร
ในงานพัฒนานวัตกรรม
ผมเคยเจอโครงการหนึ่งที่เจ้าของผลิตชิ้นงานได้มีคุณสมบัติที่ดีมาก
เริ่มแรกพยายามเข้าไปขายหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
องค์กรนั้นรับไปพิจารณา ผลปรากฏว่า นวัตกรรมดังกล่าวใช้งานได้ผลดีเกินคาด
เสียอย่างเดียวคือ
มันใหม่ไปหน่อย เลยไม่มีคู่ให้เทียบในตลาด เมื่อไม่มีคู่แข่ง
มันก็ประกวดราคาไม่ได้ เจ้าของก็เลยเลือกใช้วิธีการแก้ไขปัญหาคือ เปิดอีกบริษัทหนึ่ง
ให้มาเป็นนอมินี ส่งสินค้าเข้าแข่งขันเรื่องราคาและคุณสมบัติ
ทั้งที่ของทั้งหมดก็มาจากโรงงานเดียวกัน บริษัทสามารถขายของได้
หน่วยงานนั้นได้ของดีไปใช้ แต่ในราคาที่สูงเกินไปหรือเปล่า ไม่มีคำตอบ
ทว่าทุกฝ่ายก็ วิน-วิน กันถ้วนหน้า
มีอีกโครงการหนึ่ง
ขายของเกี่ยวพันกับกฎระเบียบข้อห้ามบางประการ ซึ่งสินค้าเขาไม่ได้ผิดอะไร
เพียงแต่เมื่อมีคนคุมกฎเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ต้องมีเรื่องค่าน้ำร้อนน้ำชา
เข้ามาเกี่ยวด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิดแท้ๆ แต่เพื่ออำนวยความสะดวก
เขาก็ต้องทำ
เรื่องทำนองนี้
บริษัทและองค์กรไทยอ่อนแอมาก เราตอบตัวเองไม่ชัดว่า อะไรถูก อะไรไม่ถูก
รู้แต่ว่าถ้ามันเจรจาต้าอ่วยกันได้ลงตัวก็พอแล้ว
ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปกับการยึดมั่นบางเรื่องมากเกินไป
ตรงกันข้าม
บริษัทฝรั่งข้ามชาติ เขาถือเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
ผมเคยแหย่พวกนี้เล่นดูเรื่องทำนองอย่างนี้ เขาไม่เอาด้วยเลย บอกว่า
บริษัทเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่สหรัฐ
กฎหมายที่นั่นสามารถลากเอาตัวเขาเข้าคุกเข้าตะรางได้
แม้ว่าเขาจะทำผิดที่เมืองไทยก็ตาม
ด้วยความเกรงกลัวกฎหมายอย่างหนึ่ง
และการมีวิจารณญาณที่ชัดว่า อะไรไม่ถูกต้อง ทำให้พวกนี้มีมาตรฐานจริยธรรมที่ค่อนข้างเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน
ผมคิดว่า
เรื่องนวัตกรรมกับจริยธรรมนั้น มีบ้างที่พึงทำ มีบ้างไม่พึงกระทำ
แปลว่า เราควรมีเส้นบางๆ
กำหนดไว้เหมือนกันว่า เราจะไม่ข้ามเส้นนี้ไปเป็นอันขาด
แม้ว่ามันจะทำให้เราล้มเหลวก็ตาม หากเราข้ามไป ต่อให้เราสำเร็จในแง่นวัตกรรม
เราก็จะทำผิดต่อมโนธรรมในเรื่องความถูกต้อง
นึกย้อนกลับไปดูอดีต
ก็พบว่า พวกเราได้พัฒนานวัตกรรมกันมาในแนวทางที่เรียกว่า ขายให้ได้ก่อน
เรื่องอื่นมาทีหลัง แปลว่า ช่างผู้บริโภคประไร ตราบใดที่เราไม่ได้ทำขัดกับกฎหมาย
เรื่องจริยธรรมไม่ใช่เรื่องของเรา
เราจึงเห็นสินค้าบางชนิด
สื่อสารกับเราให้รับรู้ว่า มีคุณสมบัติอย่างโน้นอย่างนี้
ทั้งที่ตัวมันไม่ได้มีคุณสมบัติอย่างนั้น ดูในฉลากหรือหีบห่อ ก็ไม่มีตรงไหนบอก
เราคิดไปเองทั้งสิ้น ตามสิ่งที่เอเจนซี่หรือเจ้าของเขาวางไว้ให้เราคล้อยตาม
เราในฐานะผู้บริโภคก็จดจำสิ่งผิดๆ นี้ไปบอกปากต่อปากกัน จนสังคมส่วนใหญ่เข้าใจไปอย่างนั้นกันเกือบหมด
ผมคิดว่า
น่าจะถึงเวลาที่บรรดานวัตกรทั้งหลาย ควรหันมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ยิ่งเรากำลังจะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีก 6 เท่า
เรายิ่งควรที่จะต้องรักษามาตรฐานเรื่องจริยธรรมของเราไว้ให้แน่น เพราะรับรองได้ว่า
มาตรฐานของอีก 9 ประเทศนั้น ไม่เหมือนเราแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น
ผู้บริโภคส่วนหนึ่ง
คงหันมาเลือกสินค้าและบริการที่ถูกสร้างมาอย่างถูกต้องตามจริยธรรมมากที่สุด
จะใช่เราหรือไม่ใช่เราก็แล้วแต่
สุดท้ายสิ่งที่จริยธรรมให้เราได้คือ ความภูมิใจ มันคงกินไม่ได้
แต่อย่างที่กล่าวเอาไว้ว่า เรื่องนวัตกรรมนั้น มีบ้างที่พึงทำ มีบ้างไม่พึงกระทำ
ขอให้ท่านโชคดีกับการเลือกข้างที่ถูกต้องครับ
เขียน 29
มกราคม 2556
พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ 7 กุมภาพันธ์ 2556 หน้า 20
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น