วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

ปีใหม่ รองเท้าเก่า ความฝันที่ยิ่งใหญ่


ขึ้นปีใหม่ทั้งที ในฐานะที่เป็นคนชอบขีดเขียน ก็สมควรบันทึกเรื่องดีๆ ไว้เสียต้นปี เพื่อเป็นศรีแก่ตัวเอง
เผอิญวันนี้ตื่นมาวิ่งแต่เช้ามืด ตีสี่ครึ่ง เจอคนหนุ่มสาวสามคนชายหนึ่งหญิงสอง พากันพยุงกึ่งคลานออกมาจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดในคอนโด ก่อนที่หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งปล่อยอาเจียนออกมาเสียงดังตรงข้างทางก่อนเดินเข้าตึก ส่วนผมนั้นวิ่งอยู่ห่างๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ และผมก็วิ่งทับรอยอาเจียนแบบนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ครั้นนึกขึ้นได้ว่า รองเท้าของเราคู่นี้ช่างเป็นเพื่อนยากที่อยู่กันมาหลายปีดีดัก ผมรักเขามาก แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็กำลังเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวผมก็คงต้องสวมรองเท้าคู่ใหม่ซึ่งซื้อเก็บไว้มานานแล้ว

ฉับพลัน ผมก็นึกแวบขึ้นมาในใจทันทีว่า ชีวิตเรานี่หนอก็เหมือนรองเท้าเพื่อนเกลอนี้เสียจริง ต่อให้มันดีแค่ไหน ทำงานมาหนักหนาสาหัสแค่ไหน

สุดท้ายมันก็ต้องสึกต้องหรอไปตามสภาพ ก็เหมือนกับตัวเรานี่แหละ

เกิดมาเป็นคน คนที่ขายเวลาในชีวิตแลกกับค่าจ้างรายเดือน สุดท้ายไม่วันใดก็วันหนึ่ง ย่อมมีคลื่นใหม่เข้ามาในการทำงาน เขาเก่งกว่า สดกว่า เราก็ต้องถอยให้เขาไป ต่อให้มีประสบการณ์อย่างไร วันหนึ่งก็ต้องแพ้ความชรา ชีวิตการทำงานแบบเป็นลูกจ้างมันก็คืออย่างนี้ เราคือผู้ถูกเลือก แม้ว่าเราจะเลือกที่ทำงานได้ แต่เราเลือกนายไม่ได้ เมื่อเราเลือกนายไม่ได้ เราก็กำหนดชีวิตเราเองไม่ได้ทั้งหมด เสี้ยวหนึ่งอย่างไรก็เป็นของนาย

และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอ่อนแรงเต็มที วันนั้น เราอาจจะพ่ายทั้งกายทั้งใจให้กับคนอื่นที่เขายังไหว ในขณะที่เราหมดแรงชั่วคราวก็เป็นไปได้ การเป็นลูกจ้างทำให้เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน

หากเราเป็นเจ้าของรองเท้า แม้รองเท้าคู่นั้นจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อมันหมดสภาพ เราก็ต้องทิ้งมันไป

ผมเดินทางมาถึงกลางคนแล้ว และปีใหม่ที่ผ่านมา มันทำให้ผมเขยิบเข้าไปหาความชรามากขึ้นๆ ทุกปี แล้ววันหนึ่งเราก็จะกลายเป็นรองเท้าวิ่งเก่าๆ ขาดๆ แม้จะมีคราบรอยของความช่ำชองสนามมากแค่ไหน มันก็คือรองเท้าที่ไม่มีนักวิ่งอยากจะสวมมันเพื่อลงแข่งขัน

มีทางไหนได้บ้างไหมที่ผมจะสามารถเอาชนะคราบความชราในชีวิต?

เมื่อเราแก่ลงกว่านี้อีกสักสิบปี สิบห้าปี เราจะอยู่ตรงไหนในองค์กร เรายังจะมีที่ยืนที่มั่นคงอีกไหมในชีวิต

วิ่งไปพลาง หัวก็คิดไปพลาง แม้นหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจะลากพยุงกันขึ้นตึกไปแล้วก็ตาม แต่สมองมันไม่สามารถหยุดครุ่นคำนึงแบบนี้ พอๆ กับที่ขาและน่องของผมยังคงทำหน้าที่ซ้ำๆ ซากๆ ในการพาสังขารอันเริ่มเหี่ยวย่นไปรอบหมู่ตึกอย่างสงบ

แล้วผมควรจะหาทางออกอย่างไรดี เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นเสมือนรองเท้าเก่าๆ ในองค์กร

ผมสรุปด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วว่า จากนี้ไปเป้าหมายเราคือ การเป็นนักวิ่งสิ ไม่ใช่เป็นรองเท้า เป็นรองเท้าก็แค่ลูกจ้างขายเวลา แต่เป็นนักวิ่งคือผู้กำหนดว่า เราจะวิ่งเส้นทางไหน ยาวนานเท่าใด จะวิ่งเมื่อใด และจะหยุดเมื่อไหร่ ความสุขหรือทุกข์ทั้งหมดย่อมบังเกิดแก่นักวิ่ง ส่วนรองเท้าแม้จะมีความอารีต่อเรามากเพียงไร วันหนึ่งเราก็จะลืมมัน แล้วเราก็ต้องอยู่กับตัวเราต่อไป

ดังนั้น ปณิธานของผมจากนี้ไปอีกสองปี ผมจะมุ่งมั่นกับการเป็นนักวิ่ง ซึ่งในความหมายของชีวิตจริงคือ การกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ผมจะเลิก "วิ่ง" เพื่อแสวงหาเป้าหมายอย่าง “รองเท้าวิ่ง” เสียที แต่จะ "วิ่ง" อย่าง "นักวิ่ง" เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง

มันคงยาก อันที่จริง การตื่นมาวิ่งตอนตีสี่เป็นประจำ มันยากจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถ้าวันนี้ เราไม่ลุกขึ้นมา เราก็จะไม่สามารถวิ่งได้เสียที
 

หมายเหตุ: รองเท้าวิ่งในรูปคือ ASICS รุ่น Kayano Gel ซื้อมาจากช้อปที่ฮาราจูกุ เมื่อปี 2552 ในราคา 7,500 บาท ถ่ายเมื่อ 7 มกราคม 56 ด้วย iPhone

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น