วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ความยิ่งใหญ่ของ ปตท.

ปตท. เป็นบริษัทไทยเพียงบริษัทเดียวที่มีชื่อติดอันดับฟอร์จูน 100 หากจับประเด็นเพียงผิวเผินอาจจะทำให้นึกได้ว่า ปตท. เป็นบริษัทที่เรียกกว่า โกลบอล คอมปานี หรือบริษัทที่มีเครือข่ายกว้างใหญ่ระดับโลกแล้ว
ยิ่งเราได้เห็น ปตท. ขยายการลงทุนไปยังต่างแดนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าเชื่อมากขึ้น แต่ความหมายของการเป็น โกลบอล คอมปานี ที่แท้จริงคือ การที่บริษัทนั้นสามารถผลิตสินค้าหรือบริการส่งขายได้ทั่วโลก เป็นที่รู้จักของคนในวงกว้าง หรือบริษัทนั้นสามารถพัฒนาสินค้าที่มีผลกระทบกับผู้คนในวงกว้าง ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้สงสัยได้เหมือนกันว่า คนบนโลกนี้เขาจะรู้จัก ปตท. เหมือนที่เรารู้จักกันหรือไม่
ในบ้านเราไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปตท. คือบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ในเมืองไทย มูลค่าตลาดของบริษัทในเครือรวมกันก็กินสัดส่วนก้อนใหญ่ที่สุดแล้ว โดยมีปัจจัยที่มาจากหลายสาเหตุ การเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาตินั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีความได้เปรียบในแง่พื้นฐาน โดยเฉพาะการที่มนุษย์ยังมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่พึ่งพาน้ำมันเป็นพลังงานหลักอยู่อย่างมาก
แต่ความยิ่งใหญ่ทั้งหลายแบบนี้ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เคยยั่งยืน
เพราะธุรกิจล้วนมีวัฏจักร สั้นยาวแตกต่างกัน ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์แตกต่างอยู่บ้างตรงที่ปริมาณการค้าขายอันมากมายมหาศาล ส่งผลให้วัฏจักรหมุนไปเป็นวงรอบที่ใหญ่พอดู กินเวลายาวนานหลายปีต่อเนื่อง จากนั้นจึงฟุบไปหลายปีต่อเนื่อง แล้วกลับมาขึ้นใหญ่เป็นรอบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตามแรงผลักระหว่างทั้งอุปสงค์ อุปทาน การเก็งกำไร นโยบาย การเมือง ฯลฯ
ผมมีความเห็นว่า สินค้าโภคภัณฑ์ทำนวัตกรรมได้ยากที่สุด
เพราะมันเป็นเรื่องของธุรกรรมเชิงปริมาณในพื้นฐาน ค่อนไปทางการเป็นอุตสาหกรรมขั้นปฐมตอนปลาย ต่อไปเรื่องของการแปรรูปนิดหน่อยไม่มากไม่มาย จะว่าเป็นขั้นกลางก็ไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำนัก มันลักลั่นกันนิดหน่อย
เมื่อเน้นที่ปริมาณ เวลาทำนวัตกรรมมันก็ต้องทำตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่ายาก เพราะมันหมายถึงการลงไปทำการวิจัยและพัฒนาในเรื่องต้นน้ำมากๆ ลงไปทางการวิจัยพื้นฐานลึกเอาเรื่อง ที่สำคัญคือ ทั้งใช้เวลานาน กินทรัพยากรอย่างหนัก และไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ เมื่อไหร่
นวัตกรรมส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆ กันในโลก มักจะเป็นสินค้าหรือบริการที่ใกล้กับผู้บริโภคสุดท้ายมาก คือ มันมักจะผ่านการแปรรูปร่างจากวัตถุดิบไปมาก จนผู้ใช้คนสุดท้ายไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ก่อนหน้านั้นมันเป็นอะไรมาก่อน
กับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มาจากแร่ธาตุ ทรัพยากรทั้งบนดินหรือใต้ดินนั้น มีการแปรรูปบ้างตามกระบวนการที่จำเป็น แต่ก็เป็นไปเพื่อการจำหน่ายในปริมาณมากเป็นหลัก สายการผลิตมันไปถึงผู้ใช้สุดท้ายค่อนข้างสั้น คือ สูบขึ้นมา กลั่น แล้วก็ส่งไปจำหน่าย ตัดต้นไม้เสร็จ ริดกิ่ง เลื่อยเป็นแผ่น แล้วก็จำหน่าย ปลุกข้าวเสร็จ เกี่ยว นวด สี แล้วก็ขาย
สินค้าโภคภัณฑ์มีสายการผลิตแต่ละช่วงใหญ่ๆ ไม่ซับซ้อน ทำให้เป็นปัญหาพื้นฐานของการทำนวัตกรรม เพราะมันพัฒนาสิ่งใหม่ให้ตลอดช่วงใหญ่ๆ นั้นได้ยากมาก ถ้าจะทำก็มักจะค่อนไปทางตรงปลายก่อนถึงมือผู้ใช้นิดเดียว พูดง่ายๆ คือ มักจะไปทำนวัตกรรมกันตรงไม้สุดท้ายก่อนถึงมือผู้บริโภค
ปตท. กำลังท้าทายความยากลำบากตรงนี้ครับ ด้วยการกำหนดเป้าหมายยากๆ ไว้สามสี่เรื่อง
เริ่มจากการตั้งเป้าว่า ภายในปี ค.ศ.2020 บริษัททั้งหมดในเครือรวมกันจะต้องมีรายได้มากกว่าร้อยละ 20 มาจากสินค้าที่ขายด้วยพื้นฐานของการพัฒนาเทคโนโลยี
พูดให้ง่ายคือ ทุกๆ 100 บาทของรายได้ ต้องมี 20 บาทที่ได้มาจากนวัตกรรม นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย กับบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก แต่ถ้าทำได้จริงก็น่าจะเป็นต้นแบบของการพัฒนานวัตกรรมให้กับบริษัทอื่นอย่างน่าสนใจ
อย่างที่สองคือ การกำหนดภารกิจการลงทุนเพื่อนวัตกรรมที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ร้อยละ 3 ของกำไรต้องเอามาลงทุนวิจัยและพัฒนา และต้องรักษาระดับของการลงทุนอย่างนี้เอาไว้อย่างต่อเนื่อง ตัวเลขในระดับนี้ นับว่าเหมาะสมทีเดียว เพราะเรากำลังพูดถึงการลงทุนวิจัยในหลักหลายพันล้านบาทในหัวข้อที่จำกัดขอบเขตที่พลังงานและปิโตรเคมี
ปตท. จึงเสมือนกับเป็นหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์อีกแห่งหนึ่ง ที่ใช้งบประมาณระดับหลายพันล้านบาทเช่นกัน แต่โฟกัสหัวข้อที่แคบกว่ามาก ไม่กระจัดกระจาย ทำให้พอเห็นแสงสว่างตรงปลายทางบ้าง
เรื่องที่สามคือ การมุ่งไปที่การสร้างบริษัทให้เป็นผู้ขายเทคโนโลยีเองบ้าง ไม่ใช่รับซื้อจากผู้อื่นอย่างเดียว อันนี้ ผมถือว่าเป็นการตั้งเป้าหมายที่ยากอย่างแท้จริง
เพราะการเป็นผู้ที่จะสามารถขายเทคโนโลยีได้นั้น ในกระเป๋าต้องเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายก่ายกอง ถ้าพูดถึงทรัพย์สินทางปัญญาก็น่าจะต้องมีสิทธิบัตรเป็นหลักพันในบริษัท
อันนี้ ผมคิดว่า เป็นฝันที่ดี แม้วันนี้จะยังอยู่อีกห่างไกลมากก็ตาม แต่หากไม่มีเป้าหมายให้ฝัน ก็จะไม่มีวันไปถึง
สุดท้ายคือ การกำหนดเป้าหมายที่มุ่งไปยังระดับปฏิบัติการ ด้วยการตั้งประเด็นที่การรื้อกล่องดำทั้งหลายในระบบที่มีอยู่ขณะนี้ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนมากเป็นเทคโนโลยีที่ซื้อหามาในอดีต เขาทำให้ เราก็เป็นผู้โอเปอเรต ใช้อย่างเดียว เสียก็ซ่อม หรือไม่ก็ซื้อใหม่ แต่ไม่เคยไปสนใจว่า มันทำขึ้นมาอย่างไร เราจะปรับให้มันดีขึ้นได้ไหม หรือเราน่าจะมีระบบที่เราพัฒนาขึ้นเองได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ ล้วนเชื่อมโยงกับอีกสองสามข้อข้างต้นอย่างมาก และท้าทายบริษัทอย่างยิ่ง
ผมเห็นความพยายามของ ปตท. ในเรื่องนวัตกรรมแล้ว รู้สึกดีใจ มีความหวังกับประเทศขึ้นมาบ้าง ผมชอบสโลแกนใหม่ของบริษัทที่พูดว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งชีวิตที่ดีและยั่งยืน
น่าจะเป็นบริษัทไทยขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวที่กล้าพูดแบบนี้ ใครจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกทุนนิยมเสรีนิยม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเป็นหัวใจที่จะทำให้มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างน้อยก็ในแง่ของการบริโภค
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่า บริษัทน้ำมันใหญ่ๆ ในโลกที่เรียกว่า บิ๊กไฟว์ นั้น เคยเจอกันมาก่อนทั้งสิ้น ขายของจากธรรมชาติ ก็ต้องสู้กับธรรมชาติ และก็ต้องมีแพ้ธรรมชาติด้วย บริษัทก็ต้องแก้ปัญหาให้ดี อย่างตั้งใจและจริงใจ มันไม่จบในเดือนนี้หรือปีนี้หรอกครับ อีกสิบปีข้างหน้าปัญหามันก็จะยังคงเหลือให้แก้ไข

ต่อให้ทำนวัตกรรมได้เก่งกาจขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อเหลือเกินว่า ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง อยู่ที่ความรับผิดชอบต่อสังคมนี่เอง ถ้าทำไม่ได้ ก็จะใหญ่อย่างไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง



พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ 1 สิงหาคม 2556 หน้า 20

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น