วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

Star Wars กับปัญหาอภิปรัชญาทางการเมืองระดับแกแล็กซี่





ผมเคยดูสตาร์วอร์สภาค 4 เป็นครั้งแรกเมื่อตอนเด็ก และก็ไม่ได้ดูต่ออีกจนกระทั่งเขาทำภาค 1 ออกมาฉาย ผมก็ได้ดูแค่ภาค 1 แล้วก็ขาดตอนไปอีก เมื่อสองปีก่อนเลยซื้อแผ่นดีวีดีเก็บไว้ครบ 6 ภาค แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู จนกระทั่งเมื่อคืน ผมดูสามภาคแรกรวดเดียวจบยันสว่าง ด้วยความสนุก และคิดเชื่อมโยงถึงปัญหาอภิปรัชญาการเมืองในหนังเรื่องนี้ 

ปัญหาของสาธารณรัฐ

คือ ปกป้องประชาธิปไตย ด้วยการให้อำนาจแก่คนๆ เดียวมากเกินไป  คนๆ นั้นจึงกระทำการอันสภาควบคุมไม่ได้ และจบลงด้วยการเปลี่ยนสาธารณรัฐให้กลายเป็นจักรวรรดิ โดยตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิ หรือพูดง่ายๆ คือ เป็นจอมเผด็จการนั่นเอง
 
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแฝงคือ เรื่องสมดุลแห่งพลัง ซึ่งประกอบด้วยส่วนสว่าง และด้านมืด แต่ปัญหาก็คือ ด้านสว่างดันทำลายด้านมืดจนหมดไปเมื่อพันปีก่อน แต่คงยังหลงเหลือรอดมาได้ กระทั่งแฝงตัวมาเล่นการเมือง 

พูดง่ายๆ  คือ พวก ซิธ หรือ ดาร์ก ลอร์ด สู้พวกเจไดตรงๆ ไม่ได้ เพราะกำลังน้อยกว่า (แพ้ที่จำนวน) ทั้งที่อาจมีพลังมากกว่า (หรือมี พลังพิเศษสูงกว่า แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า) เลยต้องหันมายึดวิถีทางในระบบประชาธิปไตยแทน โดยเล่นการเมืองแล้วไต่อันดับมาทีละขั้น แบบใจเย็นๆ 

ในขณะเดียวกัน ก็วางแผนลับโดยการกล่อมให้สหพันธ์การค้าประกาศสงครามกับดาวนาบู นั่นเป็นจุดเริ่มของความวุ่นวาย อันเป็นที่มาของภาคแรกในสตาร์วอร์ส

จากนั้น ซิธ หลอกให้ราชินีนาบูเสนอตัวเองเป็นสมุหนายก หรือจะว่าไปก็คล้ายๆ ประธานาธิบดี มีอำนาจสูงแต่ก็ยังมีสภาคอยคานอำนาจไว้บ้าง 

แผนสองของ ซิธ คือ ยุยงให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่ง ผมมานั่งคิดๆ ดู เด็กนี่ในหนังน่าจะสะท้อนประเด็นทางศาสนาเอาไว้ เพราะเกิดมาเอง ไม่มีพ่อ แม่เป็นพรมจรรย์ กล่าวกันตามตำนานในหนังคือ อนาคิน สกายวอคเกอร์ น่าจะเป็นผู้นำสมดุลแห่งพลังกลับคืนมาสู่แกแลคซี่

ความจริง สมดุลมันหายไปตั้งแต่เหล่าเจไดไล่กวาดล้าง ซิธ จนสูญพันธ์ไปนั่นเอง มีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืด แต่ด้านสว่างกลับทำลายด้านมืด คิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ดี ทำให้ด้านมืดกลับกลายเป็นด้านมืดจริงๆ หวนกลับมาทำลายล้างเหล่าเจไดจนเกือบสุญพันธ์ในภาคที่ 3

สิ่งที่ผมคิดได้จากหนัง

  1. ประชาธิปไตย ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นระบบที่ยังให้โอกาสในการตรวจสอบ ถ่วงดุล และที่สำคัญที่สุดคือ มันมีเวลาเริ่ม และจบ ส่วนเผด็จการไม่มี
  2. สังคมมีทั้งด้านมืด และด้านสว่าง การผลักดันคนกลุ่มหนึ่งโดยตรีตราว่า เลวกว่าตน นั้น สุดท้ายคนกลุ่มนั้นจะกลับมา เพราะในความเป็นคน ย่อมมีทั้งดีเลว ปะปนกันไป ถ้าไม่ใช่เทวดา ตราบนั้นก็ไม่ควรไล่ทำลายล้างอีกฝ่าย เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่า
  3. การใช้วิธีการไต่เต้าทางการเมือง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น กินเวลานาน แต่ถ้าเล่นการเมืองเก่งมากๆ จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองได้อย่างมหาศาลในบั้นปลาย
  4. การถ่วงดุลเป็นหัวใจสำคัญของทุกเรื่อง สมดุลแห่งพลัง ในความเห็นผมนะ คือ การรักษาดุลระหว่าง ดี-เลว มืด-สว่าง สว่างดีกว่ามืดแน่นอน และดีย่อมดีกว่าเลวแน่นอน เพียงแต่ในความเป็นคนตามธรรมชาติ มันมีทั้งสองอย่าง หากเรารู้จักจัดการมันอย่างเหมาะสม พลังจะยิ่งใหญ่มาก ในภาค 3 เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่เจไดเอง ยังเลือกใช้วิธีการสกปรก โดยการสั่งให้อนาคินไปหลอก/หักหลัง/สืบความลับจากสมุหนายก ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่สั่นคลอนความเชื่อของอนาคินต่อสภาเจได และทำให้เขาหันหน้าเข้าหาด้านมืดในที่สุด
  5. ปรมาจารย์โยดารู้เรื่องของอนาคินทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่อนาคินลงมือฆ่าตัวประหลาดกลางทะเลทรายที่สังหารแม่เขา อนาคินตอนนั้นทั้งที่ยังเป็นเจไดฝึกหัด ยังลงมือฆ่าไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิง ปรมาจารย์โยดานี่รู้มาตลอดแต่ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนกับจะเก็บไว้ใช้งาน ส่วนแพ็ดเม่นั้น รู้ว่าคนนี้ไม่ดี ยิ่งถลำตัวรัก ตามสไตล์สาวสวยชอบชายเลว ด้านมืดกลายเป็นความมีเสน่ห์ลึกลับ น่าค้นหา
  6. พวกเหล่าอาจารย์เจได ไม่เห็นคุณค่าความมีชีวิตของ “โคลน” ที่ถูกปรมาจารย์เจไดรุ่นก่อนสั่งให้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกองทัพรักษาความมั่นคงให้กับสาธารณรัฐ ทั้งที่สามารถสร้างหุ่นยนต์ดรอย์มาใช้งานได้ แต่กลับเลือกใช้ชีวิต ซึ่งตอนสั่งให้ไปรบ ไม่ค่อยคำนึงว่าจะอยู่หรือตาย ใช้งานในลักษณะไพร่ราบทหารเลว
  7. ตอนที่เจไดคนที่เป็นรองประธานสภาเจได จับกุมตัวดาร์ค ลอร์ด ซิธ เอาไว้ได้ อนาคินบอกว่าให้เอาตัวขึ้นศาล ว่ากันตามระบบ แต่ท่านรองฯ บอกไม่เอา ต้องฆ่าตรงนี้เลย ตายอย่างเดียว ความมืดจึงจะหมดไป จุดนี้เป็นจุดหักเหสุดท้ายที่ทำให้อนาคิน หันหน้าเข้าหาด้านมืดอย่างหมดลังเล ด้วยการฆ่าเจไดด้วยกันเป็นคนแรก เพราะท่านรองฯ เล่นไม่รักษาระเบียบ หรือโค้ดที่ตัวเองสั่งให้คนอื่นรักษา อย่างนั้น ก็เลิกเป็นเจไดหันไปหาด้านมืดดีกว่า ตัวละครเจไดจึงนับว่า มีด้านมืดเล็กๆ ซ่อนในตัวเกือบทั้งนั้น
  8. จริงๆ ผมออกจะเห็นว่า สภาเจได มีลักษณะเผด็จการนิดๆ เพราะความที่ตัวเองคิดว่ารู้ดีที่สุด ดีที่สุด ไม่มีประโยชน์แอบแฝง เลยทำให้ลึกๆ เจไดทุกคนเอาความเห็นตนเป็นใหญ่ทั้งสิ้น ตั้งแต่ไควกอน อาจารย์ของโอบีวัน รับเอาอนาคินมาเป็นศิษย์ ทั้งที่สภาเจไดคัดค้าน แสดงว่า ตัวเอง เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ฟังเสียงข้างมาก ตอนโอบีวันได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจในสภาเจได ก็แสดงหลายครั้งว่า ไม่แบ็คลูกศิษย์ตัว เพราะอาจจะเกรงว่า สถานะในสภาของตัวเองจะสั่นคลอน นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้อนาคิน เสื่อมศรัทธาในระบบประชาธิปไตย อาจจะเรียกลักษณะของเจไดได้ว่าเป็น เผด็จการคนดี หรือมีลักษณะเป็นขุนทหารชั้นนำได้
  9. ซิธ นั้นมีความมุ่งมั่นสูงมาก อดทนวางแผนมาเป็นเวลายาวนาน ต้องการอำนาจ หลอกใช้คน สั่งสังหารศิษย์ตัวเอง ฆ่าอาจารย์ตัวเอง ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจ และรักษาอำนาจเอาไว้ เป็นด้านมืดที่ชัดเจน เป็นคนเลว แต่ก็น่าจะพูดตามตรงว่า เป็นบุคลิกที่มีความจริงอยู่ในสังคม ถูกกดมานานเป็นพันปี เหมือนจะเป็นชนชั้นที่ไม่มีใครต้องการ แต่พอมาเป็นนักการเมืองก็หล่อเลย
  10. ผมชอบแพ็ดเม่ตรงที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดี ยอดตายไม่ยอมอยู่เห็นคนรักกลับกลายเป็นคนชั่ว แต่ไม่ห่วงลูกเต้าเลยนะครับ เอาตัวรอดคนเดียวเลย ตั้งชื่อลูกเสร็จกลั้นใจตายซะงั้น ที่สำคัญโดนสามีบีบคอก่อนตาย (ฮา)


ยังไม่ได้ดูอีกสามภาคหลังครับ ดูจบเมื่อไหร่ค่อยมาต่ออีกที





2 ความคิดเห็น:

  1. ผมให้ข้อคิดเห็นนิดนึง นะครับเนื่องจากผมชอบที่คุณอิงหนังกับชีวิตจริงมาก

    ประชาธิปไตย
    กับเผด็จการ สนแง่ของหลักการณ์ต่างกันฟ้ากับเหว
    แต่พอมาดูในโลกความจริงผมว่าไม่ต่างกันเยอะนะ

    ประชาธิปไตย ก็ทำตัวเผด็จการ
    เผด็จการก็ต้องอิงเสียงประชาชน()

    ตอบลบ
  2. ผมให้ข้อคิดเห็นนิดนึง นะครับเนื่องจากผมชอบที่คุณอิงหนังกับชีวิตจริงมาก

    ประชาธิปไตย
    กับเผด็จการ สนแง่ของหลักการณ์ต่างกันฟ้ากับเหว
    แต่พอมาดูในโลกความจริงผมว่าไม่ต่างกันเยอะนะ

    ประชาธิปไตย ก็ทำตัวเผด็จการ
    เผด็จการก็ต้องอิงเสียงประชาชน()

    ตอบลบ