วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ฤดูนวัตกรรม
อีกทั้งยังได้เห็นว่า หน่วยงานแห่งชาติทางด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์นั้น สามารถพัฒนากะละมังผสมปูนให้เป็นเรือด้วยเทคนิคทางด้านวิศวกรรมชั้นสูงอย่างไร หลังจากที่ชาวบ้านได้พัฒนาหลากหลายเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้จริงก่อนหน้าแล้วหลายเดือนในราคาที่ถูกกว่าและดูดีกว่า ในขณะที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถผลิตของที่ใช้งานได้จริงออกแจกชาวบ้านเพื่อช่วยชีวิตในสถานที่จริง และยังมีนักวิจัยบางสถาบันที่ออกโทรทัศน์ว่า ตนสามารถทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้แล้ว แต่เมื่อถูกถามว่า ขอให้ชาวบ้านเอาไปใช้ได้ไหม กลับมีค่าลิขสิทธิ์ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ส่วนอีเอ็มบอลก็สร้างข้อถกเถียง และสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์กับความเชื่อเป็นเรื่องเดียวกัน
น้ำครั้งนี้จึงถาโถมทับแก่นกลวงๆ ออกไปมาก จนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วแก่นกับกระพี้เราก็พอกัน คือเป็นสังคมอับจนปัญญาค่อนข้างมาก วิธีการแก้ปัญหาเราก็ไม่ต่างจากชาวนาที่รอฟ้ารอฝนให้ช่วยตกยามหน้าแล้ง ต้องสวดมนต์เยอะๆ แล้วหวังให้เทวดาพระอาทิตย์ช่วยเผาน้ำให้แห้งเร็วๆ จึงจะจบเรื่องไปเสียที
อนาคตเราจึงอยู่ที่การไปให้พ้นอบายภูมิแห่งความไม่รู้ต่างๆ ทั้งหมดนี้ให้ได้ เรามีทิศทางเดียวที่ควรมุ่งไปในอนาคตคือ การทำนวัตกรรม และง่ายที่สุดคือเริ่มจากตัวของเราเอง บริษัทของเราเอง องค์กรของเราเอง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรอสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้มาช่วยให้รอดทั้งนิคม แต่เราต้องรู้อย่างถูกต้องว่าจะช่วยบริษัทตัวเองให้รอดหรือเจ็บน้อยที่สุดได้อย่างไร
เพราะการช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการทำนวัตกรรม ส่วนความรู้นั้น หากเราไม่มีไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้ว่าจะหามันเจอได้อย่างไร และต้องสามารถแยกแยะให้ออกระหว่างไสยศาสตร์กับความรู้ที่เป็นจริงด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะตกอยู่ในความคิดเดิมของการเอากระสอบทรายกับคันดินมาแก้ไขปัญหาที่สูง 2 เมตรแต่มีปริมาณมหาศาลต่อไป
พ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ เราจึงต้องย้ายตัวเองเข้าสู่ฤดูกาลใหม่โดยบังคับคือ ฤดูนวัตกรรม หากเราล้มลงเพราะน้ำ เรายิ่งต้องทำนวัตกรรมเพื่อให้เราลุกขึ้นยืนใหม่ได้ หากเรารอดจากน้ำ เรายิ่งควรเร่งทำนวัตกรรม เพราะน้ำอาจมาหาเราอีกในปีหน้าก็ได้ หากเรารวยจากน้ำในครั้งนี้ เราก็สมควรหานวัตกรรม เพื่อให้รวยจากน้ำได้ยิ่งกว่านี้อีกในอนาคต หากเราไม่สนใจอะไร ไม่เดือดร้อน ไม่ได้วุ่นวายหรือได้ประโยชน์อันใดจากน้ำในคราวนี้ อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถเรียนรู้ได้ว่า มีนวัตกรรมอะไรบ้างที่เราอาจนำมาปรับใช้ในชีวิตของเราได้ หรือมีความคิดดีๆ สักอย่างไหมที่เราคิดขึ้นมาแล้วอาจพัฒนาเป็นนวัตกรรมได้ น้อยของน้อยที่สุดจริงๆ เราก็ยังสามารถเรียนรู้เรื่องราวนวัตกรรมได้มากมายจากน้ำในครั้งนี้ ฤดูต่อไปและต่อไปจากนี้ จึงมีแต่ฤดูนวัตกรรมสำหรับคนไทยทุกคน
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ผู้กล้าหาญแห่งยุคสมัย
เฟดเดอริค เฮเกล นักปรัชญาการเมืองนามกระเดื่องเคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้สอนอะไรให้แก่มนุษย์เลย เนื่องเพราะว่ามนุษย์มักจะทำความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังที่เคยเป็นมาในอดีต และทั้งที่มนุษย์ก็รู้ดีว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบางอย่างนั้นโหดร้าย ไม่น่าจดจำ และไม่ควรที่จะให้มันเกิดขึ้นมาอีก แต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายคล้ายๆ กันก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำกันอยู่เสมอตามกงล้อประวัติศาสตร์
นักปราชญ์บางท่านกล่าวไว้ว่า อันที่จริงประวัติศาสตร์ตามที่เราเข้าใจนั้นส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนหลักก็คือ สิ่งที่เขียนและกำหนดขึ้นโดยผู้ชนะ เหตุการณ์เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ชนะย่อมมีสิทธิ และสามารถกำหนดบทบาทในอนาคตของผู้แพ้ได้
บางครั้งเราจึงอาจเรียนรู้ความจริงบางอย่างตามประวัติศาสตร์ อย่างที่มันถูกกำหนดให้เป็น
แล้วความจริงแท้ของประวัติศาสตร์นั้นคืออะไรกันแน่?
สิ่งที่เราเห็น ณ วันนี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ทันทีเมื่อเราลืมตาหลังจากตื่นนอนในวันรุ่ง จริงและเท็จจะถูกปรุงแต่งกันต่อไปในชื่อที่เราคุ้นหูว่า ข้อเท็จจริง เราจึงไม่สามารทราบความจริงแห่งประวัติศาสตร์ได้จากตัวประวัติศาสตร์เอง เพราะมันมีทั้งเท็จและจริง นานวันเข้าสาระสำคัญก็อาจจะกลายเป็นว่าเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า
อำมาตย์ใหญ่และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายร่ำเรียนมาในชั้นสูงเพียงเพื่อเพิกเฉยต่ออำนาจการตัดสินใจของมหาชน โดยหลงลืมไปว่าความรู้ที่ตนได้มานั้นสร้างจากทรัพย์ หยาดเหงื่อและแรงงานของพลเมืองผู้ที่อาจไม่มีความรู้เท่าเทียม แต่ก็มีสิทธิและเสียงไม่ด้อยกว่ากัน
มวลชนล้วนแล้วแต่เป็นเสียงบริสุทธิ์ที่ต้องรับฟังด้วยความนอบน้อม มิใช่เย่อหยิ่ง และเหยียดหยาม เพราะปวงชนผู้ที่ถูกบัณฑิตดูหมิ่นนั้นก็คือผู้ที่สร้างชาติอย่างแท้จริงด้วยแรงงานในการผลิต จะมากจะน้อยก็ควรให้ที่ว่างแก่พวกเขาในการแสดงความเห็นตามระบอบที่เป็น
แต่กระนั้น ก็ในประวัติศาสตร์ตลอดมา บัณฑิตมักจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมและบ้านเมืองโดยลำพัง และพลเมืองก็มักจะเป็นเบี้ยที่มีทางเดินจำกัด และเป็นฝ่ายถูกกำหนดมากกว่าที่จะกำหนดตัวเอง
ผู้อ่านสามก๊ก คงรู้จักโจโฉดี ในนวนิยายอิงเรื่องสามก๊ก โจโฉคือ นักปกครองที่เลวร้าย ผู้มุ่งหวังจะทำมิดีมิร้ายต่อบัลลังก์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในขณะที่เล่าปี่คือ ผู้ที่จะมากอบกู้ราชวงศ์ฮั่น แต่ผู้ที่กลับสถาปนาตนเป็นเจ้าก่อนคือ เล่าปี่
จิ๋นซีฮ่องเต้ ถูกอาบด้วยภาพแห่งความโหดร้ายทารุณมานับพันปี ในที่สุดกลับมีผู้สร้างภาพยนตร์ยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้สร้างชาติอย่างสมเกียรติ มีการฉายเผยแพร่ออกไปทั่วโลก
ในนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องไซ่ฮั่น ฌ้อปาอ๋องแม้จะบุ่มบ่ามเบาปัญญา แต่ก็จริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แม้จะตายอย่างน่าอนาถแต่ก็กล่าวกันว่าได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นกวนอู

ผู้นำที่ถูกป้ายสีในวันวานและวันนี้ แท้จริงจึงอาจเป็นผู้กล้าคนหนึ่งที่อาจหาญต่อกรกับคลื่มลมแรงก็ได้ ความจริงจะประจักษ์แก่ตาและใจในสักวันหนึ่ง
บรรพชนก่อกรรม อนุชนรับวิบากหรือผลของกรรมนั้น ดีชั่วเจ้าตัวอาจไม่ได้รับผลทันตา แต่ย่อมตามสนองถึงลูกหลานไม่รุ่นใดก็รุ่นหนึ่ง
ผู้กล้าที่แท้จริงคือ ผู้ที่หยัดยืนต้านทานกระแสแห่งปัญหาและอุปสรรคที่โหมกระหน่ำ เพื่อพานาวาที่ตนคัดท้ายมุ่งไปสู่จุดหมายที่ดีเพื่อปวงชน
และแม้ยิ่งกระแสลมจะถาโถมมาหนักและแรงเท่าไหร่ ผู้กล้าย่อมยิ่งกระชับเสื้อให้มั่นคงและน้อมตัวต้านกระแสลมเพื่อต่อสู้ มิใช่ปล่อยตัวให้พัดปลิวไปตามกระแส
เพราะถ้าทำเยี่ยงนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าได้อย่างไร
ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของปวงชน ผู้กล้ายิ่งต้องมั่นคงและหนักแน่น ขุนเขาและหินผาที่ว่าแกร่ง ใจของผู้กล้าย่อมต้องยิ่งแข็งแกร่งกว่า
ในยุคสมัยแห่งปัจจุบันกาลที่ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่โดยเสรีทั้งความจริงและความเห็นปะปนกันจนแยกไม่ออก บางครั้งก็ยากที่จะชี้ชัดอะไรลงไปให้ชัดเจนว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยหลายท่านกล่าวว่า ไม่มีคำว่ากลางสำหรับความดีและความชั่ว เพราะดีคือดี และชั่วก็คือชั่ว แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ในท่ามกลางมนุษย์ปุถุชนเราท่านวันนี้ จะจำแนกคนดีที่ดีอย่างสมบูรณ์ กับคนชั่วที่ชั่วอย่างไร้ตำหนิได้อย่างไร ดีชั่วมันก็ปะปนกันในหมู่ฆราวาส บาปบ้างบุญบ้างคลุกเค้ากันไป ก็ค่อยๆ ใช้ศีลธรรมปรับปรุงแก้ไข ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ได้สติ สุขสงบก็จะกลับมา
ผู้กล้าบางครั้งก็ต้องจำยอมรับความเจ็บปวดไว้เองบ้าง ใครจะประณามเยี่ยงไร ขอให้จิตใจแน่วแน่มั่นคงต่อปณิธาน มุ่งมั่นไปในทิศเบื้องหน้านำพานาวาไปสู่จุดหมาย
เพื่อจรรโลงความดีงามในสังคมไว้ต่อไป
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Ken's Blog: A learning life is a true life.
A learning life is a true life.

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
Ultra Marathon

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่าผมติด 1 ใน 100 ด้วย โดยอยู่ในอันดับที่ 99 นี่ถ้าผมไม่กัดฟันวิ่งอีก 2 รอบสุดท้ายผมคงไม่ติดอันดับแน่นอน น่าจะหลุดไปหลังร้อยเลยวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554
เดินสู่อิสรภาพ
ธานินทร์...ใช้ทน
วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554
ตาดหมอกในความทรงจำ
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554
ยามาดะ นางามาสะ

วิถีแห่งโนบิตะ

หนังสือเล่มนี้บอกไว้อย่างนั้นครับ ผมเคยอ่านบทความหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้นานมาแล้ว จนกระทั่งช่วงวันหยุดปีใหม่ 2554 นี้เองที่ได้มีโอกาสอ่านฉบับจริงจนจบ วันหยุดยาวครั้งนี้ ผมอ่านหนังสือมากจริงๆ เฉลี่ยวันละ 3 เล่มคงจะได้ ไม่ใช่เพราะมีเวลาหรอก แต่เป็นเพราะยืมหนังสือมามาก และเป็นหนังสือดีๆ ทั้งนั้น หลายปีที่ผ่านมา ผมซื้อหนังสือน้อยลง แต่ใช้วิธีการยืมหนังสือจากห้องสมุดแทน เพราะพบว่าทุกครั้งที่จ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือ ผมจะซื้อเกินกว่าที่คิดเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หมดค่าหนังสือไปเยอะมาก ประมาณจ่ายค่าเทอมลูกได้เลย ก็เลยมาคิดว่า ยืมเอาดีกว่า อาจจะได้อ่านหนังสือช้าหน่อยแต่ก็ไม่ทำให้เราต้องจมเงินไปเยอะกับกองหนังสือเต็มบ้าน เต็มบ้านจริงๆ ลูกๆ ก็เลยได้อานิสงค์ของสังคมบริโภคหนังสือจากพ่อตัวแสบไปด้วย
กลับมาที่โนบิตะอีกครั้ง ผมว่าคนเขียนทุ่มเทเอามากๆ ที่คิดค้นหาแง่มุมที่คนดูการ์ตูนอย่างเดียว หรือเอาแต่เสพอย่างเดียวคงคิดไม่ถึง ผมว่า เขาคิดไปไกลกว่าคนแต่งการ์ตูนในบางครั้งอีกด้วยซ้ำ โนบิตะเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ แต่คนไม่เอาไหนคนนี้ ท้ายที่สุดก็มายืนแถวหน้าได้ดีกว่าที่คาด
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ไอ้ตู่" เป็นคนที่เหมือนตัวตลกในวงเพื่อนเสมอ ถูกล้อ ถูกแกล้งสารพัดสารเพ แถมก็เรียนไม่เอาไหน เรื่องผู้หญิงก็ย่ำแย่ จีบใครไม่เคยสำเร็จ หน้าตาก็งั้นๆ ไปวัดได้อย่างเดียว
พอเรียนจบ หมอนี่สอบเข้ารับราชการได้เป็นคนท้ายๆ ของรุ่น แต่วันนี้ ผมเชื่อว่า "ตู่" น่าจะเป็นข้าราชการแถวหน้าในรุ่นแล้ว และอาจจะได้เป็น ซี 9 คนแรกของรุ่นเลยก็ได้
ชีวิตผมเองก็เจอ "โนบิตะ" แบบ "ตู่" ไม่บ่อยนัก แต่ชีวิตของพวกเขาน่าทึ่งเสมอ ผมเองหากจะให้เปรียบก็น่าจะคล้ายกับเดคิซุกินิดๆ เพราะตอนเรียนผมอยู่แถวหน้าๆ ของรุ่น สมุดเลคเชอร์ผมกลายเป็นของสามัญบ่อยๆ เรื่องคะแนนติดท้อปไฟว์ ท้อปเทนนี่ประจำ แต่ไม่ค่อยอยากเอาดีทางด้านเรียนมากนัก ชอบทำกิจกรรมมากกว่า
ชีวิตจริงคนเรา ผมเชื่อว่ามีส่วนผสมของตัวละครหลายตัว อยู่ที่ว่าตัวไหนจะเด่น ตัวไหนจะแอบซ่อนอยู่ แต่คนที่มีลักษณะเด่นด้านด้อยมากๆ อย่างโนบิตะ หรือ ตู่ คงไม่พบบ่อยนัก และเมื่อบพบแล้วก็คาดการณ์อนาคตยากมาก เพราะชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ
ผมเคยเห็นผู้ใหญ่ที่นับถือหลายคนต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนในตอนแก่ หรือตอนที่กำลังจะเกษียณ ทั้งที่ทำความดีมามาก บางคนเป็นใหญ่เป็นโตเร็ว แต่ชีวิตก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่อาจก้าวข้ามขึ้นสูงไปอีกได้ คนที่ตามมาข้างหลังกลับแซงหน้าไปจนหมด สุดท้ายเกษียณในตำแหน่งเดิมที่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก
อย่างที่บอก ชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ
ผมเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะเดินหน้าอย่างไรในปี 2554 นี้ รู้เพียงแต่ว่าจะพยายามทำทุกวันให้ดี เท่านั้นเอง