วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฤดูนวัตกรรม

สถานการณ์น้ำท่วมครั้งรุนแรงในปี 2554 นี้ ให้บทเรียนอะไรแก่ประเทศไทยเราหลายอย่าง อย่างแรกเลยคือ เราได้รู้ว่า ที่ผ่านมาเราไม่มีระบบ ต่อไปเราก็จะได้แก้ไขได้ตรงจุด อย่างที่สองคือ เราได้เรียนรู้แล้วว่า การตั้งศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหญ่ในที่เดียวกัน ทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น และเทสโก้ โลตัส เมื่อน้ำท่วมก็ปิดประตูขนส่งจนหมด แสดงว่า เรายังมีโอกาสในการพัฒนาโลจิสติกส์ให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกเหลือเฟือ ต่อมาเรารู้ว่า เวลาผู้คนตระหนกตกใจกับน้ำท่วมโดยเฉพาะคนกรุงเทพนั้น เป็นอย่างไร และพ่อค้าหัวใสนั้นแก้ไขปัญหาอย่างไร

อีกทั้งยังได้เห็นว่า หน่วยงานแห่งชาติทางด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์นั้น สามารถพัฒนากะละมังผสมปูนให้เป็นเรือด้วยเทคนิคทางด้านวิศวกรรมชั้นสูงอย่างไร หลังจากที่ชาวบ้านได้พัฒนาหลากหลายเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้จริงก่อนหน้าแล้วหลายเดือนในราคาที่ถูกกว่าและดูดีกว่า ในขณะที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถผลิตของที่ใช้งานได้จริงออกแจกชาวบ้านเพื่อช่วยชีวิตในสถานที่จริง และยังมีนักวิจัยบางสถาบันที่ออกโทรทัศน์ว่า ตนสามารถทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้แล้ว แต่เมื่อถูกถามว่า ขอให้ชาวบ้านเอาไปใช้ได้ไหม กลับมีค่าลิขสิทธิ์ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ส่วนอีเอ็มบอลก็สร้างข้อถกเถียง และสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์กับความเชื่อเป็นเรื่องเดียวกัน

น้ำครั้งนี้จึงถาโถมทับแก่นกลวงๆ ออกไปมาก จนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วแก่นกับกระพี้เราก็พอกัน คือเป็นสังคมอับจนปัญญาค่อนข้างมาก วิธีการแก้ปัญหาเราก็ไม่ต่างจากชาวนาที่รอฟ้ารอฝนให้ช่วยตกยามหน้าแล้ง ต้องสวดมนต์เยอะๆ แล้วหวังให้เทวดาพระอาทิตย์ช่วยเผาน้ำให้แห้งเร็วๆ จึงจะจบเรื่องไปเสียที

อนาคตเราจึงอยู่ที่การไปให้พ้นอบายภูมิแห่งความไม่รู้ต่างๆ ทั้งหมดนี้ให้ได้ เรามีทิศทางเดียวที่ควรมุ่งไปในอนาคตคือ การทำนวัตกรรม และง่ายที่สุดคือเริ่มจากตัวของเราเอง บริษัทของเราเอง องค์กรของเราเอง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรอสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้มาช่วยให้รอดทั้งนิคม แต่เราต้องรู้อย่างถูกต้องว่าจะช่วยบริษัทตัวเองให้รอดหรือเจ็บน้อยที่สุดได้อย่างไร

เพราะการช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการทำนวัตกรรม ส่วนความรู้นั้น หากเราไม่มีไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้ว่าจะหามันเจอได้อย่างไร และต้องสามารถแยกแยะให้ออกระหว่างไสยศาสตร์กับความรู้ที่เป็นจริงด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะตกอยู่ในความคิดเดิมของการเอากระสอบทรายกับคันดินมาแก้ไขปัญหาที่สูง 2 เมตรแต่มีปริมาณมหาศาลต่อไป

พ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ เราจึงต้องย้ายตัวเองเข้าสู่ฤดูกาลใหม่โดยบังคับคือ ฤดูนวัตกรรม หากเราล้มลงเพราะน้ำ เรายิ่งต้องทำนวัตกรรมเพื่อให้เราลุกขึ้นยืนใหม่ได้ หากเรารอดจากน้ำ เรายิ่งควรเร่งทำนวัตกรรม เพราะน้ำอาจมาหาเราอีกในปีหน้าก็ได้ หากเรารวยจากน้ำในครั้งนี้ เราก็สมควรหานวัตกรรม เพื่อให้รวยจากน้ำได้ยิ่งกว่านี้อีกในอนาคต หากเราไม่สนใจอะไร ไม่เดือดร้อน ไม่ได้วุ่นวายหรือได้ประโยชน์อันใดจากน้ำในคราวนี้ อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถเรียนรู้ได้ว่า มีนวัตกรรมอะไรบ้างที่เราอาจนำมาปรับใช้ในชีวิตของเราได้ หรือมีความคิดดีๆ สักอย่างไหมที่เราคิดขึ้นมาแล้วอาจพัฒนาเป็นนวัตกรรมได้ น้อยของน้อยที่สุดจริงๆ เราก็ยังสามารถเรียนรู้เรื่องราวนวัตกรรมได้มากมายจากน้ำในครั้งนี้ ฤดูต่อไปและต่อไปจากนี้ จึงมีแต่ฤดูนวัตกรรมสำหรับคนไทยทุกคน

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผู้กล้าหาญแห่งยุคสมัย

เฟดเดอริค เฮเกล นักปรัชญาการเมืองนามกระเดื่องเคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้สอนอะไรให้แก่มนุษย์เลย เนื่องเพราะว่ามนุษย์มักจะทำความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังที่เคยเป็นมาในอดีต และทั้งที่มนุษย์ก็รู้ดีว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบางอย่างนั้นโหดร้าย ไม่น่าจดจำ และไม่ควรที่จะให้มันเกิดขึ้นมาอีก แต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายคล้ายๆ กันก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำกันอยู่เสมอตามกงล้อประวัติศาสตร์



นักปราชญ์บางท่านกล่าวไว้ว่า อันที่จริงประวัติศาสตร์ตามที่เราเข้าใจนั้นส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนหลักก็คือ สิ่งที่เขียนและกำหนดขึ้นโดยผู้ชนะ เหตุการณ์เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ชนะย่อมมีสิทธิ และสามารถกำหนดบทบาทในอนาคตของผู้แพ้ได้



บางครั้งเราจึงอาจเรียนรู้ความจริงบางอย่างตามประวัติศาสตร์ อย่างที่มันถูกกำหนดให้เป็น



แล้วความจริงแท้ของประวัติศาสตร์นั้นคืออะไรกันแน่?



สิ่งที่เราเห็น ณ วันนี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ทันทีเมื่อเราลืมตาหลังจากตื่นนอนในวันรุ่ง จริงและเท็จจะถูกปรุงแต่งกันต่อไปในชื่อที่เราคุ้นหูว่า ข้อเท็จจริง เราจึงไม่สามารทราบความจริงแห่งประวัติศาสตร์ได้จากตัวประวัติศาสตร์เอง เพราะมันมีทั้งเท็จและจริง นานวันเข้าสาระสำคัญก็อาจจะกลายเป็นว่าเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า



อำมาตย์ใหญ่และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายร่ำเรียนมาในชั้นสูงเพียงเพื่อเพิกเฉยต่ออำนาจการตัดสินใจของมหาชน โดยหลงลืมไปว่าความรู้ที่ตนได้มานั้นสร้างจากทรัพย์ หยาดเหงื่อและแรงงานของพลเมืองผู้ที่อาจไม่มีความรู้เท่าเทียม แต่ก็มีสิทธิและเสียงไม่ด้อยกว่ากัน



มวลชนล้วนแล้วแต่เป็นเสียงบริสุทธิ์ที่ต้องรับฟังด้วยความนอบน้อม มิใช่เย่อหยิ่ง และเหยียดหยาม เพราะปวงชนผู้ที่ถูกบัณฑิตดูหมิ่นนั้นก็คือผู้ที่สร้างชาติอย่างแท้จริงด้วยแรงงานในการผลิต จะมากจะน้อยก็ควรให้ที่ว่างแก่พวกเขาในการแสดงความเห็นตามระบอบที่เป็น



แต่กระนั้น ก็ในประวัติศาสตร์ตลอดมา บัณฑิตมักจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมและบ้านเมืองโดยลำพัง และพลเมืองก็มักจะเป็นเบี้ยที่มีทางเดินจำกัด และเป็นฝ่ายถูกกำหนดมากกว่าที่จะกำหนดตัวเอง



ผู้อ่านสามก๊ก คงรู้จักโจโฉดี ในนวนิยายอิงเรื่องสามก๊ก โจโฉคือ นักปกครองที่เลวร้าย ผู้มุ่งหวังจะทำมิดีมิร้ายต่อบัลลังก์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในขณะที่เล่าปี่คือ ผู้ที่จะมากอบกู้ราชวงศ์ฮั่น แต่ผู้ที่กลับสถาปนาตนเป็นเจ้าก่อนคือ เล่าปี่



จิ๋นซีฮ่องเต้ ถูกอาบด้วยภาพแห่งความโหดร้ายทารุณมานับพันปี ในที่สุดกลับมีผู้สร้างภาพยนตร์ยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้สร้างชาติอย่างสมเกียรติ มีการฉายเผยแพร่ออกไปทั่วโลก



ในนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องไซ่ฮั่น ฌ้อปาอ๋องแม้จะบุ่มบ่ามเบาปัญญา แต่ก็จริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แม้จะตายอย่างน่าอนาถแต่ก็กล่าวกันว่าได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นกวนอู



ผู้นำที่ถูกป้ายสีในวันวานและวันนี้ แท้จริงจึงอาจเป็นผู้กล้าคนหนึ่งที่อาจหาญต่อกรกับคลื่มลมแรงก็ได้ ความจริงจะประจักษ์แก่ตาและใจในสักวันหนึ่ง



บรรพชนก่อกรรม อนุชนรับวิบากหรือผลของกรรมนั้น ดีชั่วเจ้าตัวอาจไม่ได้รับผลทันตา แต่ย่อมตามสนองถึงลูกหลานไม่รุ่นใดก็รุ่นหนึ่ง



ผู้กล้าที่แท้จริงคือ ผู้ที่หยัดยืนต้านทานกระแสแห่งปัญหาและอุปสรรคที่โหมกระหน่ำ เพื่อพานาวาที่ตนคัดท้ายมุ่งไปสู่จุดหมายที่ดีเพื่อปวงชน



และแม้ยิ่งกระแสลมจะถาโถมมาหนักและแรงเท่าไหร่ ผู้กล้าย่อมยิ่งกระชับเสื้อให้มั่นคงและน้อมตัวต้านกระแสลมเพื่อต่อสู้ มิใช่ปล่อยตัวให้พัดปลิวไปตามกระแส



เพราะถ้าทำเยี่ยงนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าได้อย่างไร



ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของปวงชน ผู้กล้ายิ่งต้องมั่นคงและหนักแน่น ขุนเขาและหินผาที่ว่าแกร่ง ใจของผู้กล้าย่อมต้องยิ่งแข็งแกร่งกว่า



ในยุคสมัยแห่งปัจจุบันกาลที่ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่โดยเสรีทั้งความจริงและความเห็นปะปนกันจนแยกไม่ออก บางครั้งก็ยากที่จะชี้ชัดอะไรลงไปให้ชัดเจนว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว



ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยหลายท่านกล่าวว่า ไม่มีคำว่ากลางสำหรับความดีและความชั่ว เพราะดีคือดี และชั่วก็คือชั่ว แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ในท่ามกลางมนุษย์ปุถุชนเราท่านวันนี้ จะจำแนกคนดีที่ดีอย่างสมบูรณ์ กับคนชั่วที่ชั่วอย่างไร้ตำหนิได้อย่างไร ดีชั่วมันก็ปะปนกันในหมู่ฆราวาส บาปบ้างบุญบ้างคลุกเค้ากันไป ก็ค่อยๆ ใช้ศีลธรรมปรับปรุงแก้ไข ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ได้สติ สุขสงบก็จะกลับมา



ผู้กล้าบางครั้งก็ต้องจำยอมรับความเจ็บปวดไว้เองบ้าง ใครจะประณามเยี่ยงไร ขอให้จิตใจแน่วแน่มั่นคงต่อปณิธาน มุ่งมั่นไปในทิศเบื้องหน้านำพานาวาไปสู่จุดหมาย



เพื่อจรรโลงความดีงามในสังคมไว้ต่อไป

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Ken's Blog: A learning life is a true life.

Ken's Blog: A learning life is a true life.: "Friday 10th June 2011, I joined in the ANU Alumni reunion party, for the first time. I got the forwarded mail unexpectedly but gladly enou..."

A learning life is a true life.







Friday 10th June 2011, I joined in the ANU Alumni reunion party, for the first time. I got the forwarded mail unexpectedly but gladly enough to hear from my bedrock school. My life became stronger spiritually after spending my late teenager hood there.




Some say life is a long journey. Some say it is much shorter. I think it all depends on who and when this question is asked. If I am old and rich I might say life is too short. For a grieving and striving person, he or she may want a quick-to-the-end life.






I was in a middle path. Right now I am in a no-path at all. Life is a living sphere. We all have to endure it as well as to cheer up with it. It's just right there. Sometime we feel our own lives like we can feel a cool breeze in winter. Sometime even in a mid of the hottest day we may feel nothing. Life is inside us and we rarely touch and embrace it.




I am a middle age man, full of fear and confusion. There are days that I can't touch anything and there are nights I could not sleep. Sun makes me warm and home provides me with care. Without my family I wonder how can I survive alone in a world that so mean to me.




I love my mom, dad, brother, sisters, wife and daughters. Together they are one picture of environment which encircles me inside. Out there is also life. Another half of me, a little taste of bitterness which I must walk through.




I have climbed thousands of stairway. Each step takes away my age and gives me back experience. I have learned life in a hard way. Like a sword, it will become a weapon only until it was hit and put into a burning red colour. Sharpened with a tough stone, then it'll be invincible. Everyone has a tough stone in life. Whatsoever they are called, stone is hard, dry and heartless.




Unfortunately, I already have many stones come into my life. In a short term, it makes me weak, destroys my strength, and testifies my belief. Longer term, it is just a way I have to go.





That Friday night reminded me to all of these. Problem is nothing but a learning. And only a learning life is a true life. So welcome stones, I am right here awaiting for you. No matter how hard you hit me. I won't let myself die because I am too weak. You will only make me sharper, tougher, and stronger over time. I may forget this when I am older but scars you give me will always remind me of passed time.





Come and test me until my last breath, until the end of my life.



วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Ultra Marathon




วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันแรงงาน แต่ปี 2554 นี้เป็นวันแรงงานที่มีความหมายสำหรับผมมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมลงร่วมแข่งขันระดับมหาโหดที่เรียกว่า Ultra Marathon ซึ่งแปลว่าเป็นรายการแข่งขันที่มีระยะทางมากกว่าประเภทมาราธอนปกติที่ 42.195 ก.ม. อันเป็นระดับเกือบเข้าใกล้ยอดมนุษย์แล้ว ผมคิดอยู่นานสองนานว่าจะเอาไหม เพราะตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงวันแข่งขัน ผมรับบทเป็นพ่อเลี้ยงลูกเดี่ยวมาตลอด เวลาจะซ้อมแทบไม่มี





ทุกครั้ง ทุกเช้าที่ผมตื่นมาจะซ้อม มีลูกสาวตัวดีสองคนนอนอยู่ข้างๆ ผมก็อดกอดลูกอดหอมลูกไม่ได้ พอได้นอนกอดลูกเข้า ใจมันก็ไม่อยากจะไปซ้งไปซ้อมอะไรแล้ว ลืมหมดเลยชีวิตนี้ นอนกกเป็นแม่ไก่จนกระทั่งเลยเวลาวิ่ง เป็นเวลาทำอาหารเช้าให้ลูกๆ ก็จำเป็นต้องกระวีกระวาดตื่นจริงๆ มาทำงาน





ชีวิตผมเป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน พอถึงเสาร์อาทิตย์ จะวิ่งยาวๆ เสียหน่อยผมต้องขออนุญาตลูกบังเกิดเกล้าว่า พ่อขอไปซ้อมหน่อยน๊า เดี๋ยวกลับมา ลูกบอกเสียงเฉียบขาดว่า "ไม่ได้" พ่อจะทิ้งหนูไปไหน เพราะผมเคยแอบหนีไปซ้อมตอนตี 4 กว่าจะกลับบ้านก็ 7 โมงเช้า ลูกตื่นมาไม่เห็นใครนอกจากพี่น้องท้องเดียวกันสองคน ก็เลยร้องโวยวายใหญ่ เดือดร้อนคนข้างห้องไปหมด กลับมาคราวนั้น ผมโดนลูกสวดภาณยักษ์ใส่เลย ก็เลยต้องขอทุกครั้งก่อนจะหนีไป บางครั้งก็อนุญาต บางครั้งก็ไม่ สุดแล้วแต่อารมณ์คุณเธอ





อย่างไรก็ตาม ผมก็ตัดสินใจมาลงแข่งในวันแรงงานปีนี้จนได้ ทั้งที่อ่อนซ้อมเหลือทน แถมร้ายที่สุดคือ วันก่อนหน้าลงแข่งขันผมอดนอนอย่างหนัก เพราะจำเป็นต้องพาลูกไปฝากบ้านพ่อตา วันแข่งผมต้องตื่นแต่เช้า เดี๋ยวจะไม่มีคนดูแล คืนที่ฝากแอร์บ้านพ่อตาผมติดๆ ดับๆ ทั้งลูกทั้งผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน กว่าจะข่มตานอนได้ก็เกือบตี 3 เข้าให้ ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 4 เลยไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี พอตี 5 ผมก็สะโหลสะเหลออกจากบ้านไปขึ้นแท๊กซี่





ผมไม่เคยมาสนามแข่งนี้มาก่อน อยู่ที่บางกะปิ หลังการเคหะแห่งชาติ แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกว่าวันนี้คงพอกัดฟันได้ เพราะร่มรื่นอยู่ ไม่น่าจะร้อนมากเท่าไหร่ อากาศร้อนกับนักวิ่งนี้เป็นคู่กัดกันเลย





ผมรีบฝากของ หาอะไรกินรองท้องเร็วๆ เตรียมยืดเส้น และพร้อมลงแข่ง ความจริงไม่พร้อมหรอก ทั้งไม่ได้นอนและไม่ได้ซ้อมให้เพียงพอเลย





เริ่มออกตัวตอน 6 โมงเช้าตรง และสิ้นสุดเวลาการแข่งขันที่ 4 โมงเย็น รวมเวลา 10 ชั่วโมงเต็ม





800 เมตรแรกของผมทรมานจริงๆ การวิ่งเป็นวงกลมในสวนสาธารณะมันก็โอเคอยู่หรอก แต่ผมง่วง ใน lap แรกผมรั้งท้ายเลย ขาไม่อยากจะก้าว หัวใจก็เต้นหวิวๆ ชอบกล ความจริงผมมีอาการคัดจมูกมาตลอดสัปดาห์ด้วย เพราะแพ้ฝุ่นอย่างมากเนื่องจากเก็บกวาดบ้านให้เรี่ยมแร้ รอรับขวัญศรีภรรยาที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน จนบางครั้งเวลาเจอคำถามว่าแต่งงานหรือยัง ผมบางทีก็งงๆ ว่าตัวเองโสดหรือมีเมียแล้วกันแน่





lap ที่สอง สาม สี่ ห้า ผมก็ยังวิ่งเนิบๆ ไม่มีหยุด แต่รั้งท้ายโคตรๆ นักวิ่งแนวหน้าน๊อกรอบผมไปกันคนละไม่รู้กี่รอบ ในใจผมก็นึกสวดไปว่า นี่ยังอีก 9 ชั่วโมงกว่า พวกคุณจะรีบไปไหนกันไม่ทราบ อันที่จริงพวกแนวหน้าแท้ๆ ประกอบด้วยนักวิ่งเคนย่าชื่อ อัลเฟรด แชมป์ปีที่แล้ว สามารถทำระยะทางรวมได้มากกว่า 100 ก.ม. และแนวหน้าแท้ๆ อีกพวกคือ นักวิ่งทีมชาติที่มาอาศัยสนามแข่งทดสอบประสิทธิภาพของตัวเอง





ผมมันเป็นพวกนักวิ่งแนวนอน คือ วิ่งไปผมก็อยากจะล้มตัวลงนอนให้รู้แล้วรู้แรด เหนื่อยสุดๆ ตั้งแต่ 3 ก.ม. แรกแล้ว





ราวๆ เกือบ 9 โมง ปรากฎว่าฝนตก ตกหนักมาก หลายคนชอบใจ ผมก็ว่าดี เพราะจะได้ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย แต่มันตกนานเกินไป ตกมากเกินไป ทำให้ตัวหนักขึ้น รองเท้าอุ้มน้ำมาก และที่แย่ที่สุดคือ มันทำให้รองเท้าเสียดสีกับถุงเท้าจากการวิ่ง เกิดเป็นความอับชื้น ท้ายที่สุดคือทำให้มันกัดเท้าอย่างแรง นักวิ่งหลายคนยอมถอดรองเท้าทิ้ง หันมาวิ่งเท้าเปล่าแทน ผมไม่กล้า ก็ฝืนวิ่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าเกิดขึ้นตั้งแต่ราว 10 โมงแล้ว





พอใกล้ 11 โมง ผมก็หิวมากจนต้องแวะที่ station เพื่อหาของกิน ซึ่งผมก็กินอย่างกับผีปอบ คือโซ้ยทุกอย่างที่มีให้กิน ทั้งน้ำ น้ำเกลือ ข้าวผัดกระเพรา ขนมปัง กล้วย แตงโม ข้ามต้มมัด สับปะรด ไม่มีบันยะบันยัง กินจนกระเพราะครากภายในเวลาแค่ 10 นาทีเอง มันหิวจัดจริงๆ ตัวก็เปียกอับ ผมหยุดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เดินไปที่กระดานบอกคะแนนจัดอันดับ ปรากฏว่าผมอยู่ที่ลำดับ 158 จากราวๆ 200 กว่า





งานนี้มีรางวัลที่ผมเคยสนใจว่าจะลองดูคือ ติด 100 คนแรกที่ทำระยะทางรวมสูงสุดให้ได้ เพื่อรางวัลเป็นเสื้อผู้พิชิตที่ทางเจ้าภาพเขาทำมาแค่ 100 ตัวในโลกเท่านั้น เป็นเกียรติกับชีวิตนักกีฬามาก ส่วนอีกรางวัลที่ผมเล็งคือ ทำให้ครบ 60 รอบสนาม หรือคิดเป็นระยะทางรวม 48 ก.ม. ก็จะได้ถ้วยรางวัล





นักกีฬาทั่วไปอาจจะบอกว่า แค่เกินจากมาราธอนไป 6 ก.ม. ก็คงไม่ยาก ในชีวิตจริงผมจะบอกให้ว่ายากมากครับ เพราะกว่าจะวิ่งไปให้ครบ 42.195 ก.ม. ก็หืดจับแล้ว กว่าจะขยับร่างกายให้เคลื่อนที่ไปได้อีกกิโล หรือสองกิโลนั้น มันยากสุดๆ





ผมเองในชั่วโมงแรกก็รู้ตัวว่า ผมคงไม่ได้สักรางวัลแน่นอน แค่วิ่งให้ครบระยะมาราธอนก็ไม่น่าจะทำได้แล้ว และที่สำคัญคือ ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงนอน





แต่พอได้อาหารไป ผมก็เหมือนควายถึก ค่อยๆ ก้าวไป ก้าวไปแบบเนิบๆ ไปเรื่อยๆ อาหารมื้อนี้เดชะบุญทำให้ผมเสือกไสร่างกายอันแก่ชราไปได้อีกราวๆ ชั่วโมง พอกลับไปดูคะแนนใหม่ ปรากฏว่าผมขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับ 138 แล้ว





หลังเที่ยง ฝนไม่มีแล้ว ผมก็ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง หยุดเดินพักบ้าง แต่ไม่มีหยุดนั่ง ขยับร่างกายชรามา 6 ชั่วโมงเต็มแล้ว ผมไม่มีนั่งเก้าอี้เลย นักกีฬาในเวลานี้เริ่มบางตาลง ผมคิดว่าหลายคนคงพัก หาอะไรกินเป็นแน่ แต่ผมก็ยังคงไปต่อ ชีวิตวิ่งเป็นวงกลมอยู่ในสนาม





พอถึงราวๆ บ่ายโมงครึ่ง ผมก็กลับไปดูคะแนน พร้อมกับหาอะไรกินเพิ่มเติมอีก ได้ไก่ทอดมา 1 ชิ้นจากเพื่อนนักกีฬาใจบุญแบ่งให้ด้วยน้ำใจ กินข้างต้มอีกชาม ขนมปัง และน้ำอีกพะเรอเกวียน ส่วนลำดับผมขยับขึ้นมาเป็น 122





ถึงตรงนี้ ใจก็นึกว่า วันนี้จะลุ้นถ้วยรางวัล 60 รอบน่าจะได้น่ะ ทั้งที่ร่างกายมันบอบช้ำเหลือทน ตีนก็เจ็บ ง่ามขาก็เปียก หัวใจไม่ได้หยุดพักเลย แต่เอาว่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แข่งให้มันรู้ไปว่าชีวิตชรานี้มันจะไปได้อีกสักกี่น้ำ





ขาจึงยังคงก้าวไปด้วยใจที่มุ่งมั่นมากขึ้น ผมทำระยะครบ 60 รอบได้ในเวลาราวบ่าย 2 โมงกว่า คราวนี้ผมไม่ได้กลับไปดูคะแนนลำดับหรอก เพราะคิดในใจคำนวณแล้วว่า เราถูกทิ้งห่างมาก ยังไงก็ทำเวลารวมไม่ติด 1 ใน 100 แน่นอน





สนามนี้ ผมคิดว่าเป็นสนามที่ต้อง qualified ด้วยถึงคิดจะมาลงแข่งได้ เพราะในระดับ Ultra Marathon นี้ปีหนึ่งจัดแค่หนึ่งหรือไม่ก็สองสนามเท่านั้น นักกีฬาทั่งประเทศต่างต้องการมาลงชิงรางวัล ประลองความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ผมเลยได้เห็นนักกีฬาหลายสิบชีวิตที่มาจากต่างจังหวัด กะดูน่าจะมากกว่า 50 - 60 คนด้วยซ้ำ บางคนมาจากระนอง หาดใหญ่ อุตรดิตถ์ เชียงราย เท่าที่ดูจากสังกัดชมรม พวกนี้เป็นระดับแชมป์ของจังหวัดทั้งนั้น น่าจะมีผมที่สะเออะมาคนเดียว วิ่งเดี่ยว ไม่มีกลุ่ม ไม่มีซุ้มพักเป็นของตัวเอง รู้สึกอิจฉาคนที่มาเป็นทีมมาก เพราะเขามีทั้งผ้าเย็น เต้นท์นอนพัก คนนวดขา อาหารน้ำท่าบริบูรณ์ ผมมีแต่สมองกลวงๆ กับเท้าบวมๆ





มีช่วงหนึ่งที่วิ่งๆ อยู่มีเด็กเดินมากับแม่ ถามแม่ว่า แม่ๆ เขาวิ่งไปไหนกัน? ผมขำจนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ตัวเองจะวิ่งไปไหนกัน วิ่งเป็นวงกลมอย่างนี้มานับสิบๆ รอบแล้ว และจะวิ่งเพื่ออะไรก็ไม่รู้ มันเกินเลยไปกว่าการวิ่งเพื่อสุขภาพมากแล้ว ที่ทำอยู่มันเป็นกระบวนการทำลายตัวเองชัดๆ แต่ผมก็เลือกที่จะไปต่อ เพื่อพิสูจน์ว่า สุดท้ายแล้วผมจะทำได้ไหม ทำได้ดีที่สุดเท่าไหร่ ผมจะเดินทางไปถึงชั่วโมงที่ 10 หรือเปล่า? ผมว่าคำถามพวกนี้ มันก็เป็นคำตอบในตัวเองนั่นแหละตราบเท่าที่ผมไม่หยุดก้าวไปข้างหน้า





ถึงชั่วโมงสุดท้าย ผมบอกตัวเองได้ว่า ร่างกายผมแทบละลายแล้ว มันไม่เป็นผู้เป็นคนอีกแล้ว เอาคนแก่มาเดินยังอาจจะเร็วกว่าผมอีก แต่ผมก็ยังคงก้าวไปไม่หยุด นับไปที่ละรอบที่เราเข้าใกล้ 55 ก.ม. แล้วสินะ ก็เลยตั้งเป้าหมายสดๆ ตรงนั้นเลยว่าจะท้าทายตัวเองด้วยการวิ่งไปให้ครบ 60 ก.ม. ให้ได้





ผมก็ทำได้จริงๆ การนับระยะใช้วิธีการประมาณเอา ตอนที่ครบ 60 กิโลเมตรแล้วยังเหลือเวลาอีกราว 10 นาที ผมเลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองไปต่อให้จบ 10 ชั่วโมงดีกว่า ทั้งที่สมองไม่ทำงานแล้ว มันอยากพักเต็มทน แต่ใจสั่งให้ไปต่อให้ต้องค่อยๆ ก้าวก็เอา





นาทีสุดท้าย ผมเหลือระยะทางอีกประมาณ 400 เมตรจะเข้าเส้นชัย หากผมไปไม่ทัน รอบนี้ผมจะฟาวล์ทันที ไม่สามารถเอามาคำนวณนับระยะได้ ผมเลยกัดฟันเพิ่มสปีด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ผมสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนั้นในชั่วโมงนั้น ในสภาพร่างกายอย่างนั้นได้ ผมได้ยินเสียงประกาศบอกว่าเหลือเวลาอีก 30 วินาที ผมมีระยะทางที่ต้องไปต่ออีก เกือบ 200 เมตร เอาว่ะ ตายเป็นตาย ผมวิ่งขึ้นแซงหน้านักกีฬาทีละคนสองคนไปเรื่อยๆ แบบช้ำๆ คนสุดท้ายที่ผมแซงในระยะ 50 เมตรที่เหลือเป็นนักวิ่งฝรั่งที่น็อกรอบผมมาตลอด 10 ชั่วโมง รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่แซงเขาได้แบบโง่ๆ การเพิ่มสปีดในระยะสุดท้ายนี่ ปกติเขาไม่ทำกันเพราะมันจะเจ็บหนักมาก แต่ผมก็เอาเพราะไม่อยากเสียรอบ และอยากให้ตัวเองวิ่งจนครบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ตอนที่เข้าเส้นชัย น้องโอ๊ค พันธพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ น้องนักวิ่งอีกคนที่ลงสนามเป็นเพื่อนผมประจำมาคอยเชียร์ด้วย เขายังแปลกใจว่าทำไมผมเหลือกำลังอัดได้ในนาทีสุดท้าย ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าทำไปได้อย่างไร แต่ก็ได้ทำในที่สุด





ผมจบการแข่งขันในเวลารวม 9 ชั่วโมง 59 นาที กับอีก 35 วินาที ระยะทางรวม 61.6 ก.ม. โดยไม่มีหยุดนั่ง หยุดนอน สักครั้งเดียว





หลังเส้นชัย ผมหยุดหอบหายใจ คุยกับโอ๊ค มองหาของกิน และไปดูป้ายคะแนน






ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่าผมติด 1 ใน 100 ด้วย โดยอยู่ในอันดับที่ 99 นี่ถ้าผมไม่กัดฟันวิ่งอีก 2 รอบสุดท้ายผมคงไม่ติดอันดับแน่นอน น่าจะหลุดไปหลังร้อยเลย





ผมก็เลยได้สองรางวัลที่เคยคิด แต่พอมาลงวิ่งจริงๆ ไม่ได้คิด สุดท้ายก็ได้ครองทั้งสองรางวัลแบบไม่ตั้งใจทำ แต่ตั้งใจแข่ง ผมเคี่ยวกรำร่างกายอันแก่ชราในวันนี้มากมายจริงๆ สมควรแล้วที่มันจะได้ผลตอบแทนที่ภาคภูมิใจ





ผมชอบรางวัล 1 ใน 100 มากกว่าถ้วยผู้พิชิต 60 รอบสนาม เพราะรู้สึกว่าตัวเองติด 100 คนแรกของประเทศที่ทำได้ มันเลยภูมิใจมากกว่า ส่วนระยะ 60 รอบนั้นมีคนทำได้มากกว่า 100 คน เลยไม่ภูมิใจเท่า





การแข่งขันสำหรับผม คือ การพิสูจน์วินัย ความสามารถ ความอดทน สภาพจิตใจ และวิญญาณของการต่อสู้ที่แท้จริง





ผมกลับบ้านแบบเจ็บๆ อาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงแทบไม่อยากลุกขึ้นมาเลย แต่ผมต้องไปรับศรีภรรยาที่สนามบิน ลูกๆ ก็ไม่ได้อยู่กับผมทั้งวัน เจ้าตัวเล็กบอกว่า ขอเล่นขี่ม้าหน่อย ผมบอกว่า วันนี้ม้าแก่ของลูกเจ็บมาก และเหนื่อยจริงๆ พ่อขอวันหนึ่งน่ะ เดี่ยวเราไปรับแม่กัน





ตอนที่ผมไปสนามบิน ปรากฎว่าไฟลท์ของศรีภรรยาผมเลื่อนจาก ห้าทุ่มเป็นเกือบเที่ยงคืน ลูกๆ เลยนอนสัปหงกกันหมดในรถ ส่วนผมก็ใคร่จะนอนให้ได้เต็มกลืน





หลังจากกลับบ้าน ผมหลับสนิท หลับลึกมาก ตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า หลับรวดเดียวเลย ความจริงยังอยากนอนต่อ แต่ด้วยนิสัยตื่นเช้าผมเลยต้องลุกมาทำงาน ขาก็ยังเจ็บระบมแต่พอเดินได้ วันที่ 2 พฤษภาคม ผมไม่หยุดชดเชยเพราะเขาถือว่าข้าราชการไม่ใช่กรรมกร ไม่ต้องหยุดวันแรงงาน แต่ผมใช้แรงจนหมดหยดสุดท้ายในวันแรงงานไปแล้ว





ปีหน้า ยังไม่คิดว่าจะกลับไปแข่งใหม่ไหม แต่ที่แน่ๆ วันที่ 15 พฤษภาคม ผมมีสนาม Adidas King of the Road ระยะ 15 ก.ม. ซึ่งผมจะไปแข่งพร้อมศรีภรรยา ส่วนเดือนมิถุนายน มี Laguna Phuket Marathon 42.195 ก.ม. ซึ่งจะไปกับโอ๊คอีกสนาม





ระยะทางรวมของปีนี้น่าจะเกิน 500 ก.ม. แน่ๆ รองเท้า Asics คู่เก่งของผมที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นพังยับเยินไม่มีชิ้นดี คู่นี้อยู่กับผมมาสัก 700 ก.ม. เห็นจะได้ ไปบ้านเก่าเสียแล้วในที่สุด





ชีวิตการเป็นนักกีฬาสอนอะไรผมมาก วันที่ผมเขียน Blog นี้เป็นวันที่ 3 พฤษภาคม ผมเดินเหินได้คล่องขึ้น ไม่เจ็บมากนักแม้ยังคงต้องอาศัยผ้ายืดพันไว้บ้าง แต่ก็กำลังฟื้นตัวคืนมาเรื่อยๆ เมื่อวานผมกินข้าวเป็นพายุเลยทีเดียว





สนามหน้า ผมไม่คาดหวังว่าจะทำเวลาได้ดีขึ้น แต่ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่า ผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในวันนั้น เพราะวันของเราที่แท้จริง มีเพียงแค่ขณะเดียว คือ วันเวลา ณ ปัจจุบันที่เราหายใจอยู่ ฉะนั้น ผมจะทำให้ดีในวันนี้ของผมทุกเวลา จนกว่าร่างกายอันแก่ชราแล้วนี้จะเดินทางถึงฟากฝั่งแห่งการพักผ่อนนิรันดร





วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

เดินสู่อิสรภาพ


ผมซื้อหนังสือเล่มนี้ที่ตลาดนัดกรมวิทยาศาสตร์บริการ คนขายบอกว่ามาจากสำนักพิมพ์สุขภาพใจ มาขายลดราคา อันที่จริงผมอยากได้หนังสือเล่มนี้มานานแล้ว แต่ราคาปกแพงอยู่ ผมไม่ได้ซื้อหนังสือมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะปี 2552 เพราะว่าซื้อทีหนึ่งผมซื้อเยอะ ซื้ออย่างกับคนบ้าเลย พอกลับมาซื้อครั้งแรกในรอบ 2 ปี ก็ซื้อหนังสือเล่มนี้รวมกับหนังสือเล่มอื่นๆ ของท่านพุทธทาสบ้าง อาจารย์สุพจน์ ด่านตระกูล (เข้าข่ายหนังสือสะสม) และหนังสือพุทธแบบโบราณๆ ทั่วไป


ผมไม่ชอบหนังสือแนวพุทธสมัยใหม่สักเท่าไหร่ ที่คนทั่วไปเขานิยมกันผมก็อ่านหมด แต่ไม่ชอบ รู้สึกว่าไม่ถูกจริตกัน วันที่ซื้อหนังสือครั้งแรกของปีเลยซื้อไปประมาณ 20 เล่ม ราคารวมๆ ก็ราว 5,000 บาทจะบ้าตาย หลายเล่มที่ราคา 800 - 900 บาท ผมต้องวิ่งขึ้นมาออฟฟิสมายืมเงินเพื่อนร่วมงานไปจ่าย


เล่มแรกในกองที่อ่านก็คือ "เดินสู่อิสรภาพ" ผมอยากอ่านมานานแล้ว พอซื้อมาเป็นเจ้าของเลยอ่านรวดเดียวสองวันจบ


เป็นหนังสือเล่มหนึ่งในบรรดาหนังสือไม่มากนัก ที่ผมอ่านไปบางช่วง น้ำตาก็ไหลออกมาเอง ผมร้องไห้เพราะอ่านหนังสือนี้ทั้งหมด 4 ครั้ง ตลอดสองวันที่อ่าน มันไม่ใช่หนังสือเศร้าหรืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกละเอียดและซาบซึ้งบางอย่างที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก


วันที่ผมเริ่มอ่านคือวันที่ 10 มีนาคม 2554 ผมเอาติดตัวไปอ่านตอนเดินทางไปสัมมนากับออฟฟิสที่จังหวัดตรัง วันที่สองผมนอนอ่านบนเปลของโรงแรมริมทะเล มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งถ่ายรูปนี้เอาไว้ เธอคงไม่รู้หรอกว่า อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น น้ำตาผมไหลพรากๆ แบบหยุดไม่อยู่


ผมนอนอ่านลำพัง มีเสียงลมเสียงคลื่น ประกอบภาพสะท้อนในจิตใจ ทำให้ผม "ร่ำไห้" ออกมาโดยไม่รู้ตัว


อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ได้ผ่านการกำเนิดใหม่ด้วยการเดิน เพื่ออิสรภาพในใจของอาจารย์เอง


มีครั้งหนึ่งที่ผมตัดสินใจขี่เสือหมอบแก่ๆ เก่าๆ จากบ้านไปบางแสนคนเดียว ไม่มีใครสักคนที่พยายามเหนี่ยวรั้งผมไว้ แฟนผมก็แค่ถามเลียบๆ เคียงๆ เพื่อนที่ทำงานก็มีแต่หัวเราะด้วยความตลกโปกฮาที่รับทราบว่าผมจะขี่จักรยานไปร่วมประชุมที่โรงแรมริมหาดบางแสน ความตั้งใจของผมเป็นเรื่องโจ๊กในสายตาคนอื่น แต่เป็นเรื่องที่ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มุ่งมั่น และพากเพียรอย่างยิ่ง


ผมจำได้ว่าใช้เวลาไปราว 5 ชั่วโมงจากคอนโดริมถนนพระรามเก้า ปั่นไปตามทางเอกมัยทะลุออกบางนา จากนั้นก็ขี่ตรงไปตลอด มุ่งหน้าไปเรื่อย ทิศทางนั้นชัด แต่ระยะทางผมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ได้แต่มุ่งไปไม่หยุด


ผมรู้ของผมเองว่า ผมทำไปทำไม เพื่ออะไร สำเร็จแล้วเป็นอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า ทำเองรู้เอง บอกคนอื่นไม่ถูก


หากมีโอกาสผมอยากปั่นจากบ้านไปเชียงใหม่ ขึ้นดอยอินทนนท์ กลับไปเยี่ยมถิ่นเก่าที่แม่อาย แล้วค่อยกลับกรุงเทพ ถ้าจะไปผมคงไปคนเดียว ปั่นแบบเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด หิวก็หาของกิน ง่วงก็กางเต้นท์นอนริมถนน


เอาไว้ทำจริงเมื่อไหร่จะมาบันทึกไว้เป็นอนุสรณ์

ธานินทร์...ใช้ทน

วันนี้ผมเพิ่งซื้อวิทยุทรานซิสเตอร์ยี่ห้อ ธานินทร์ มือหนึ่งมา เป็นการบรรลุความฝันอันยิ่งใหญ่สมัยเมื่อยังเล็กอยู่ ผมเคยฝันว่าเมื่อโตขึ้น มีเงินจะซื้อธานินทร์มาครอบครองเอาไว้ฟังรายการละครวิทยุที่ชื่นชอบ สมัยนั้นผมชอบฟังละครสยองขวัญมาก คนงานแถวบ้านเปิด ผมนอนฟังในบ้านตัวเอง เสียงวิทยุธานินทร์ดังก้องไปทั้งละแวก ละครผีนี้ก็แปลกอยู่ ทั้งที่ฟังกลางวันได้ยินแต่เสียง ผมยังเอาผ้าห่มมาคลุมโปงได้

นั่นเป็นความหลังฝังใจกับวิทยุ พอโตขึ้นหน่อยเริ่มมีกะตังค์ก็ใช้ซาวน์เบาท์วิทยุแบบมีหูฟัง เท่มากแต่ภาครับคลื่นนี่ห่วยแตก ฟังได้กระท่อนกระแท่น เดชะบุญที่ผมสามารถรับวิทยุจุฬาฯ ได้ตลอด ช่วงมัธยมปลายเลยนอนอ่านหนังสือสอบไปพร้อมกับฟังรายการดนตรีคลาสสิกไป แล้วผมก็ค่อยๆ เรียนรู้เรื่องดนตรีคลาสสิกตั้งแต่นั้นมา

โตขึ้นมาอีกนิด วิทยุไม่สนใจแล้ว บ้าเทปเพลงเป็นหลัก พอเริ่มแก่ซีดีก็มา แล้วก็ตามด้วยเอ็มพีสามนวัตกรรมล้างวัฒนธรรมอีกชุด

ผมเริ่มมาสะดุดความรักความหลังของตัวเองกับวิทยุ ก็เมื่อหยุดซื้อกาแฟรถสามล้อเครื่องเจ้าโปรดละแวกโรงเรียนอนุบางเทพสนิทที่ลูกอยู่เมื่อต้นปี 54 ผมชอบเขาที่ปรุงกาแฟได้เข้มข้นหวานมันสมใจอยาก คนขายเป็นเสื้อแดงขั้นอุกฤต เปิดวิทยุธานินทร์ฟังช่องวิจารณ์รัฐบาลเสียงดังลั่นซอยเอกมัย 4 ผมถามเขาว่า วิทยุนี้ยังมีขายอีกหรือ ซื้อมาเท่าไหร่ ใช้ดีไหม ฯลฯ

ผมก็เลยหวนกลับมารำลึกได้ว่า เราก็น่าจะมีไว้สักเครื่อง ไอ้พวกวิทยุในบ้านที่เคยมีอยู่ไม่ได้เรื่องสักเครื่องไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตาม มันไม่สามารถรับภาคเอเอ็มให้สมใจเลยสักเครื่องเดียว แฟนผมชอบบอกว่าผมรสนิยมเห่ย ห่วย บ้านนอก ฯลฯ นอนคอนโดดัดจริตฟังเพลงลูกทุ่ง ผมก็บอกว่า ผมชอบของผมอย่างนี้ และจะค่อยๆ เปิดให้ลูกๆ ซึมซับเอาความบ้านนอกไว้ด้วยทีละหน่อย

ผมน่าจะเป็นคนเดียวในคอนโดราว 700 - 800 ห้องที่ใช้ผ้าขาวม้าอาบฝักบัว ก็คนมันชอบน่ะ ผมไม่เคยซื้อผ้าขนหนูเช็ดตัวเลย แต่มีผ้าขาวม้าสีและประเภทผ้าต่างกัน 5 ผืนและผมใช้งานประจำวันทุกผืนสลับเปลี่ยนตลอดเวลา เวลาออกมานอกระเบียงหลายครั้งผมก็นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวออกมายืนรับลม เวลาตากผมก็ตากมันตรงระเบียง ชาวบ้านเห็นคงรู้สึกแปลก แต่ผมรู้สึกสบายดี

บางครั้งเมียเผลอ ผมก็เอาผ้าขาวม้านี่แหละเช็ดตัวให้ลูกหลังอาบน้ำ พ่อลูกใช้มันผืนเดียวกัน เธอรังเกียจมาก บอกว่าสกปรก ผมก็งง ไม่เข้าใจทีเธอทำไมใช้ผ้าขนหนูผืนเดียวกับลูกได้??? เหยียดหยามชีวิตลูกทุ่งชัดๆ

วันนี้ หลังจากควานหาอยู่นานเกือบสองเดือน ผมซื้อวิทยุธานินทร์มาแล้วเครื่องหนึ่ง อยากตะโกนให้โลกรู้ว่า "กูดีใจฉิบหาย" ฝันมาตั้งนาน ไม่คิดเลยว่าจะมามีธานินทร์เป็นของตัวเองเครื่องแรกเมื่อตอนอายุ 36 ปี มีลูกสอง คนจีนกำลังจะไปดวงจันทร์ คนอเมริกันจะไปดาวอังคาร แต่ผมมีวิทยุเอเอ็มดีๆ เครื่องหนึ่งไว้นอนฟัง
วันนี้ ผมจะเปิดดังๆ ให้เมียกับลูกฟังทั้งคืน หึ หึ จะเอาให้หูคนกรุงเสียคนไปเลย ดูสิว่ารสนิยมวิไลชาวกรุงเทพกับธานินทร์...ใครจะทนกว่ากัน

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ตาดหมอกในความทรงจำ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2554 ผมพาลูกเมียเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อไปนอนค้างแรมกลางป่าที่อุทยานแห่งชาติตาดหมอก ความจริงผมเพิ่งเคยได้ยินชื่ออุทยานนี้ตอนได้โบชัวร์งานวิ่งตาดหมอก ครั้งที่ 3 เมื่อปีกลาย ตั้งใจจะมาตั้งแต่ต้นปี 53 แต่ฝันเพิ่งจะเป็นจริงในปีนี้ จุดประสงค์จริงๆ คือ จะพาครอบครัวมาลงแข่ง 5.1 ก.ม. ซึ่งผมก็ซ้อมลูกสาวทั้งสองคนมาตลอด จับลูกวิ่งรอบๆ คอนโดจนมั่นใจว่า ใบเตย 4 ขวบ กับต้นกล้า 6 ขวบ วิ่งไหวแน่ ส่วนเมียผมไม่มั่นใจ เพราะเขาไม่ได้ซ้อมเลย แต่ก็คงเอาตัวรอดได้เพราะเคยจับไปวิ่งแข่ง 10.5 ก.ม. มาก่อน ผมก็คิดว่าคงจะวิ่งไปแบกลูกไป อุ้มไปลากไปบ้างคงถึง เพราะเป็นทางภูเขา ลูกๆ คงเหนื่อย ตัวเล็กยิ่งหัวใจไม่แข็งแรงด้วย

ชีวิตจริง ทุกอย่างผิดคาดไปหมด
เราเดินทางออกจากกรุงเทพบ่ายโมง โอ้เอ้วิหารรายตามปั๊มน้ำมัน กว่าจะถึงเพชรบูรณ์ก็เย็นแล้ว และพอถึงทางเข้าตาดหมอกก็เกือบหกโมงแล้ว

อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วมาก ความมืดมาเยือนโดยไม่บอกกล่าว

18.00 ผมยังขับรถวนขึ้นเขาอยู่กับความเปลี่ยว ถนนแคบมาก ไม่มีรถสวน ในใจนึกตลอดว่า นี่เรามาผิดทางหรือเปล่า
18.45 เห็นแสงไฟจากที่พักแล้ว
19.00 ผมจอดรถ โชคดีมากที่เราได้ที่ว่างใกล้ๆ ด้วย
19.15 เริ่มมหกรรมกางเต้นท์ ผมมะงุมมะหงารากับมันพักใหญ่ เพราะเมียรักซื้อของขวัญชิ้นนี้ให้ผม เป็น Master Lagoon ที่ผมใฝ่ฝันมานาน เต้นท์หนัก และกางยากมาก สมัยเป็นผู้นำค่าย YMCA ผมแข่งชนะจับเวลากางเต้นท์สามเหลี่ยมได้เป็นที่หนึ่งของรุ่น เรื่องกางเต้นท์ เข้าป่า ไม่เคยแพ้ใคร แต่เต้นท์ที่เมียซื้อให้นี่กางยากที่สุดในชีวิต
20.00 เต้นท์เสร็จแล้ว อลังการมากกว่าที่คิด ลูกทั้งสองแฮปปี้มาก กระโดดกลิ้งเล่นในเต้นท์อย่างสนุกสนาน อากาศหนาวและชื้นมาก ถ้าไม่มี Fly Sheet คงได้นอนเปียกแน่ ดาวนับพันดวงลอยเต็มท้องฟ้า กลุ่มเต้นท์ของเพื่อนบ้านดูเล็กไปถนัดตา แต่ก็ดูมีความสุขกันทุกคน ส่วนใหญ่เอาเตาอั้งโล่ขึ้นมาย่างไก่ ย่างหมูกินกัน ผมเอาเตาแก๊สกระป๋องมา แต่โชคร้ายที่ตัวเตาพังคามือผมเลย แก๊สสามกระป๋องที่เตรียมมาไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง

20.30 ลูกเริ่มร้องว่าหิว ผมก็หิว และพยายามก่อกองไฟ ในที่สุดไฟติด แต่ด้วยความที่ฟืนชื้นมาก ทำให้ไฟกองนี้มีปัญหา
21.00 ไข่ดาว ไข่เจียวถูกทยอยส่งออกไปให้ลูก

22.00 ข้าวต้มเสร็จแล้ว หอมกลิ่นถ่าน ลูกๆ ทานกันคนละนิดหน่อย เพราะง่วงนอนมาก ผมก็ง่วง

23.00 ทอดนักเก็ตกุ้งให้ลูกกิน แต่คนเล็กหลับแล้ว
24.00 หลับกันหมดทั้งแม่ทั้งลูก ผมยังเมามันกับการทอดนักเก็ต เพื่อให้ลูกกิน ในใจคิดว่าพรุ่งนี้ไฟจะต้องติดยากมาก ทอดวันนี้ดีกว่า พรุ่งนี้แค่อุ่นก็พอ การที่เราพยายามทำอาหารโดยที่ไฟไม่แรงนั้น ทำให้ชีวิตยุ่งยากที่สุด

01.00 ในที่สุดผมก็สร้างไฟกองโตได้สำเร็จ เป็นความสะใจส่วนตัวแท้ๆ ขลุกอยู่กับไอ้ฟืนกองนี้มาทั้งคืน สมัยวัยรุ่นชอบก่อไฟมาก เหมือนกลับไปเป็นเด็กได้เล่นในสิ่งที่ชอบเลย เอาตีนไปผิงไฟแก้หนาว หัวชื้นๆ เปียกๆ ไม่มีหมวกใส่ เสื้อที่สวมก็บางๆ ความจริงนะหนาวมาก แต่ด้วยความที่ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เลยไม่ค่อยกังวลกับความหนาวเท่าไหร่

02.00 ผมเข้านอน ในใจคิดว่าพรุ่งนี้ลูกจะตื่นไหวไหม เต้นท์เพื่อนบ้านยังร้องเพลงเล่นกีต้าร์อยู่ และมีทีท่าว่าจะไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนกัน ผมไม่มีผ้าห่ม เพราะยกให้ลูกกับเมียหมด กลัวเขาหนาว ผมเลยนอนขดอิงหลังลูกคนโต ทั้งสามคนหลับสบายมาก พ่อคนนี้นอนขดเป็นกุ้ง และหลับๆ ตื่นๆ ตลอดด้วยความหนาว

อาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554
05.00 ผมลุกจากที่นอน เริ่มมีเสียงดังจากกองจัดการแข่งขัน ผมเริ่มก่อกองไฟ

05.05 ไฟติดง่ายกว่าที่คิด ทั้งที่อากาศชื้นมาก ผมเจอฟืนแห้งดุ้นโต 3 ท่อนด้วยความบังเอิญ ไฟกองใหญ่สำเร็จด้วยความ "ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง" ส่วนอีก 3 ชีวิตหลับสนิท ความจริงการนอนป่านี่ช่วงที่หลับสบายที่สุดคือย่ำรุ่งกับตอนแดดอ่อนนิดนิดแทบไม่อยากลุกจากเต้นท์เชียวล่ะ ผมก็ไม่อยากปลุกเขา เลยเดินไปที่จุดสตาร์ทลำพัง คนเยอะกว่าที่คิดมาก เขาจัดงานได้ดีจริงๆ ดีกว่าคนกรุงเทพจัดงานอีก ทั้งที่งานนี้ชาวบ้านแท้ๆ ผมตัดสินใจลงแข่งระยะไกลที่สุด เพราะไหนๆ ก็มาแล้วลูกไปไม่ไหว ผมก็ลุยเองแล้วกัน 21.1 ก.ม.
จริงๆ ผมขาดการซ้อมระยะไกลมาพักใหญ่ ไม่ค่อยเชื่อน้ำยาตัวเองว่าจะวิ่งจบด้วยหรือเปล่า เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอน การอดนอนแล้วมาวิ่ง ทำให้การแข่งขันล้มเหลวทุกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจในที่สุด

05.30 เดินเอาปาท๋องโก๋ร้อนๆ 5 ตัวมาฝากลูกในเต้นท์ เด็กยังหลับอยู่ ผมปลุกเมียบอกว่า ให้ลุกมาดูกองไฟบ้างนะ เดี๋ยวมันจะไหม้เต้นท์ และฉันเอาปาท๋องโก๋มานี่แล้ว น่าจะอร่อย ให้ลูกกินตอนตื่นนะ เดี๋ยวฉันไปวิ่งก่อน

06.15 เริ่มสตาร์ท ความจริงอากาศยังหนาวมากอยู่ และยังมืดอยู่เลย แต่ก็คงจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทางผู้จัดบอกว่าอีกแป๊บฟ้าก็จะเปิด

เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ ผมมีนาฬิกาติดตัว แต่ไม่ได้ดูเลย ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ไม่มี mp3 ไม่มีความกังวล มีแต่ใจ สองขา กับความมุ่งมั่นที่จะวิ่งเรื่อยๆ

ผมเห็นจุดกลับตัว 5.1 แล้ว เชื่อเต็มร้อยว่าลูกเมียผมไม่ไหวแน่ เพราะตั้งแต่เริ่มวิ่งมาขึ้นเขาตลอด

ยังวิ่งขึ้นเขาเรื่อยๆ อยู่ มีสลับทางลงสั้นๆ และทางราบสั้นๆ ยังไม่เห็นจุดกลับตัวจุดแรก

ผมเริ่มเหนื่อยมาก แต่ยังไม่ยอดหยุดเดิน ฟ้าสว่างแล้วตอนที่กลับตัวบริเวณน้ำตก

กิโลเมตรที่ 15 อากาศยังเย็น หายใจเป็นควัน แดดออกแต่ไม่รู้สึกว่าร้อนเลย

กิโลเมตรที่ 18 ยังไม่ถึงจุดกลับตัวสุดท้าย เหนื่อยจริงๆ หัวใจเต้นหนักมาก ร่างกายเริ่มไม่ยอมเคลื่อนไหวตามใจคิด ทางขึ้นเขาชันมาก ผมต้องหยุดเดิน เพราะคิดว่าหัวใจทำงานหนักกว่า 95% แล้ว หอบเร็วมาก นักวิ่งกลุ่มที่ตามหลังมาก็เดินเหมือนกัน ทางชันยาวตลอด 1 ก.ม. คนที่วิ่งลงสวนมาบอกตลอดว่า เดินครับเดิน อีกยาวไม่ต้องรีบ

ในที่สุดก็ถึงจุดกลับตัวที่ กิโลเมตร 19 ใจเริ่มไม่ไหวแล้ว ล้าจริงๆ

กิโลเมตรที่ 20 เจอลูกๆ แล้ว ต้นกล้ายิ้ม ผมหอมลูก 1 ครั้ง

ถึงเส้นชัยในที่สุด หัวใจจะขาด เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่สนใจด้วย แต่มีความสุขดีที่แข่งจนจบ

ผมมองหาของกิน และเอาข้าวต้มเห็ดหอมร้อนๆ สองชามถือเดินไปฝากลูกที่เต้นท์



ในที่สุดผมก็ทำได้อีกครั้ง กับการแข่งระยะไกล แม้ว่าจะทำเวลาได้ไม่ดี แต่เป็นสนามที่สวยงามมาก เป็นสนามที่ผมประทับใจจริงๆ ได้นอนกลางป่า เต้นท์ติดลำห้วย สามารถก่อไฟได้ทั้งที่ปัจจุบันอุทยานเขาห้ามการก่อไฟเป็นอันขาด ผมเข้าใจว่างานนี้เขาหยวนๆ มั๊ง ผมโชคดีมากที่ได้จุดพักดี มีห้วย ดาวสวย นั่งริมกองไฟ ทำอาหารให้ลูกเมียกิน ต้มน้ำร้อนชงกาแฟ ผ่าฟืนไปนั่งคิดไป เมียผมก็เลยถ่ายรูปข้างบนไว้
ผมคิดว่า ชีวิตผ่านอะไรมามากมาย ผมเริ่มแก่ ลูกก็เริ่มโต มีดเดินป่าในมือคมมาก ผมใช้ครั้งสุดท้ายนานมาแล้ว ตอนที่หยิบขึ้นมาลับ สนิมเขรอะไปหมด ก็คงเหมือนกับชีวิตที่ผ่านมา สนิมเกาะเยอะ ต้องหมั่นลับหมั่นถูชีวิต ผมอาศัยการวิ่งและปั่นจักรยานเป็นหินลับที่ฝนสนิมออกไปจากชีวิต ย่างเข้าปีที่สองของการเป็นนักกีฬา ผมแกร่งขึ้นมากในเชิงหัวใจ แม้สังขารจะร่วงโรยตามเวลาก็ตาม
ความฝันยังคงอยู่ นี่เป็นประโยคที่ติดหัวผมตลอดเวลาที่อยู่ตาดหมอก ตลอดเวลาที่วิ่ง ตลอดทุกลมหายใจของความเหน็ดเหนื่อยอย่างเป็นสุข
ปีหน้าผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ลาก่อนตาดหมอก

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ยามาดะ นางามาสะ


หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายที่เกี่ยวกับเมืองไทย โดยมีตัวละครเอกเป็นคนญี่ปุ่น และเขียนโดยคนญี่ปุ่น


ผมรู้จัก "ยามาดะ" มาหลายปีแล้ว ด้วยความนับถือเขาเป็นอย่างมาก และคิดเล่นๆ ว่าหากท่านยามาดะไม่ถูกวางยาพิษจนตาย ไม่แน่ว่าอยุธยาอาจมีราชาเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ เพราะชีวิตท่านโลดโผนมาก แม้ว่านักเรียนไทยทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินชื่อท่านเลยในบทเรียนประวัติศาสตร์ปกติ การรบทางความคิด เหลี่ยมคู ระหว่างท่านยามาดะและเพื่อนรักอีกคนคือ ออกญากลาโหม มีคนไทยอีกคนที่เขียนไว้คือ อาจารย์คึกเดช กันตามระ ผมว่างานเขียนของอาจารย์นี่ชั้นครูมาก ผมนับถือจนหมดหัวใจ ในหนังสือชื่อ "เจ้าไล" อาจารย์ให้ออกญากลาโหมเป็นตัวเอก และว่ากันตามตำนาน สุดท้ายกลายเป็นพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปลายปี 2553 มีภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่งชื่อ "ยามาดะ ซามูไรอโยธยา" ผมยังไม่ได้ดู และก็อยากดู คงจะหามาดูเร็วๆ นี้ แต่ก็ทราบว่าภาพยนต์เรื่องนี้คงไม่ค่อยถูกโฉลกคอหนังไทยนัก ไม่น่าแปลกใจเลย ชีวิตของท่านยามาดะนั้นให้แง่คิดสำคัญคือ คนเราสามารถต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ อำนาจและเงินทอง แต่วาสนาเป็นตัวกำหนดว่า เราจะอยู่กับมันได้นานแค่ไหน ชีวิตของซามูไรต่างแดนจึงได้จบลงที่นอกอยุธยา ในขณะที่เพื่อนอีกคนกลายเป็นกษัตริย์ในที่สุด ชีวิตต้องดูกันยาวๆ ครับ และหากชีวิตยังไม่สิ้น เราก็ต้องดิ้นกันต่อไป

วิถีแห่งโนบิตะ


"ชัยชนะของคนไม่เอาถ่าน"

หนังสือเล่มนี้บอกไว้อย่างนั้นครับ ผมเคยอ่านบทความหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้นานมาแล้ว จนกระทั่งช่วงวันหยุดปีใหม่ 2554 นี้เองที่ได้มีโอกาสอ่านฉบับจริงจนจบ วันหยุดยาวครั้งนี้ ผมอ่านหนังสือมากจริงๆ เฉลี่ยวันละ 3 เล่มคงจะได้ ไม่ใช่เพราะมีเวลาหรอก แต่เป็นเพราะยืมหนังสือมามาก และเป็นหนังสือดีๆ ทั้งนั้น หลายปีที่ผ่านมา ผมซื้อหนังสือน้อยลง แต่ใช้วิธีการยืมหนังสือจากห้องสมุดแทน เพราะพบว่าทุกครั้งที่จ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือ ผมจะซื้อเกินกว่าที่คิดเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หมดค่าหนังสือไปเยอะมาก ประมาณจ่ายค่าเทอมลูกได้เลย ก็เลยมาคิดว่า ยืมเอาดีกว่า อาจจะได้อ่านหนังสือช้าหน่อยแต่ก็ไม่ทำให้เราต้องจมเงินไปเยอะกับกองหนังสือเต็มบ้าน เต็มบ้านจริงๆ ลูกๆ ก็เลยได้อานิสงค์ของสังคมบริโภคหนังสือจากพ่อตัวแสบไปด้วย

กลับมาที่โนบิตะอีกครั้ง ผมว่าคนเขียนทุ่มเทเอามากๆ ที่คิดค้นหาแง่มุมที่คนดูการ์ตูนอย่างเดียว หรือเอาแต่เสพอย่างเดียวคงคิดไม่ถึง ผมว่า เขาคิดไปไกลกว่าคนแต่งการ์ตูนในบางครั้งอีกด้วยซ้ำ โนบิตะเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ แต่คนไม่เอาไหนคนนี้ ท้ายที่สุดก็มายืนแถวหน้าได้ดีกว่าที่คาด

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ไอ้ตู่" เป็นคนที่เหมือนตัวตลกในวงเพื่อนเสมอ ถูกล้อ ถูกแกล้งสารพัดสารเพ แถมก็เรียนไม่เอาไหน เรื่องผู้หญิงก็ย่ำแย่ จีบใครไม่เคยสำเร็จ หน้าตาก็งั้นๆ ไปวัดได้อย่างเดียว

พอเรียนจบ หมอนี่สอบเข้ารับราชการได้เป็นคนท้ายๆ ของรุ่น แต่วันนี้ ผมเชื่อว่า "ตู่" น่าจะเป็นข้าราชการแถวหน้าในรุ่นแล้ว และอาจจะได้เป็น ซี 9 คนแรกของรุ่นเลยก็ได้

ชีวิตผมเองก็เจอ "โนบิตะ" แบบ "ตู่" ไม่บ่อยนัก แต่ชีวิตของพวกเขาน่าทึ่งเสมอ ผมเองหากจะให้เปรียบก็น่าจะคล้ายกับเดคิซุกินิดๆ เพราะตอนเรียนผมอยู่แถวหน้าๆ ของรุ่น สมุดเลคเชอร์ผมกลายเป็นของสามัญบ่อยๆ เรื่องคะแนนติดท้อปไฟว์ ท้อปเทนนี่ประจำ แต่ไม่ค่อยอยากเอาดีทางด้านเรียนมากนัก ชอบทำกิจกรรมมากกว่า

ชีวิตจริงคนเรา ผมเชื่อว่ามีส่วนผสมของตัวละครหลายตัว อยู่ที่ว่าตัวไหนจะเด่น ตัวไหนจะแอบซ่อนอยู่ แต่คนที่มีลักษณะเด่นด้านด้อยมากๆ อย่างโนบิตะ หรือ ตู่ คงไม่พบบ่อยนัก และเมื่อบพบแล้วก็คาดการณ์อนาคตยากมาก เพราะชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ

ผมเคยเห็นผู้ใหญ่ที่นับถือหลายคนต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนในตอนแก่ หรือตอนที่กำลังจะเกษียณ ทั้งที่ทำความดีมามาก บางคนเป็นใหญ่เป็นโตเร็ว แต่ชีวิตก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่อาจก้าวข้ามขึ้นสูงไปอีกได้ คนที่ตามมาข้างหลังกลับแซงหน้าไปจนหมด สุดท้ายเกษียณในตำแหน่งเดิมที่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก

อย่างที่บอก ชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ

ผมเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะเดินหน้าอย่างไรในปี 2554 นี้ รู้เพียงแต่ว่าจะพยายามทำทุกวันให้ดี เท่านั้นเอง