วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

จาก 500 ประจัญบาน สู่ Lone Survivor










มีเวลาว่างมา review หนังสงครามสองเรื่อง ในยามที่บ้านเมืองหน้าสิ่วหน้าขวาน ผมเลยหยิบเอาหนังขึ้นมาดูแล้วตีความตามความคิดของผมเอง ทั้งสองเรื่องนี้ base on a true story ทั้งคู่


เรื่อง 500 ประจัญบาน เป็นหนังสงครามภายในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อนที่โชกุนโตกุกาว่า อิเอยะสึ จะรุ่งเรือง น่าจะเป็นช่วงต้นของการก้าวขึ้นมามีอำนาจ ตอนนั้นไดเมียวผู้ปกครองรัฐบาลคัมปากุ พยายามทำการรวมชาติ โดยก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองทั่วญี่ปุ่น คราวนี้มีกลุ่มผู้ปกครองโอดาวะระ ยังไม่ยอมแพ้


ในหนังนั้น ธรรมเนียมของการ “ยอมแพ้” ของเหล่าซามูไร ทำได้ แต่ไร้เกียรติ เพราะปราสาทจะถูกยึด ข้าว ที่นาก็ถูกยึด สถานะจะถูกปลด ท่านหญิงของปราสาทจะต้องถูกส่งถวายตัวให้จักรพรรดิ จึงเท่ากับหมดสิ้นทุกอย่าง ยกเว้นชีวิตอย่างเดียว แต่ก็ปราศจากศักดิ์ศรี


คำถามคือ แล้วทำไมไม่สู้


คำตอบคือ กองทัพคัมปากุ จากรัฐบาลกลาง มีขนาดมโหฬาร แถมมีกำลังเงินไม่อั้น ขึ้นรบไปก็ตายเปล่า ไม่เหลืออะไรแม้แต่ชีวิต


ในหนังนั้น ปราสาทโอดาวะระ มีกลุ่มปราสาทลูก (คล้ายๆ กับเมืองหน้าด่าน) กระจายล้อมรอบ มีปราสาทโอชิ เป็นหัวใจของหนังเรื่องนี้


เพราะเจ้าเมือง หรือ เจ้าผู้ปกครองปราสาทโอชิ เหมือนจะรู้กันกับเจ้านายที่โอดาวะระ ว่าต้องยอมแพ้ เลยเดินทางออกจากเมืองไปพบกันที่ปราสาทโอดาวะระ โดยสั่งลูกน้องคนหนึ่งที่เป็นมือขวาให้รักษาการปราสาทแทน คำสั่งคือ ให้เปิดประตูเมืองยอมแพ้ และรับข้อเสนอของทัพคัมปากุ


ไฮไลท์ คือ  รักษาการแทนป่วยกะทันหัน และตายลง ตำแหน่งรักษาการเลยตกมาให้ลูกชาย ที่ไม่มีความเป็นนักรบเลย แต่ชอบทำตัวใกล้ชิดชาวนา เรื่องก็คือ พ่อหนุ่มคนนี้ไม่ยอม ทั้งที่ทั้งเมืองมีทหารแค่ 500 คนแต่กลับเลือกที่จะต่อสู้กับทัพหลวงที่ส่งมา 20,000 คน


เรื่องที่ผมอยากจะพูดหลังจากสปอยล์เนื้อเรื่องแล้วคือ ตรงนี้แหละครับ


การที่เรามีกำลังน้อยกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่า เรามีความเป็นมนุษย์น้อยกว่า


นี่ผมไม่ได้พูดเอง เป็นคำพูดของแม่ทัพคัมปากุ ที่ออกอารมณ์เซ็งเมื่อเจอกับทัพข้อศึกที่ยอมแพ้ง่ายๆ เพียงเพื่อรักษาตัวให้รอด เขาถึงกับเปรยว่า “จะยังมีใครที่มีความเป็นมนุษย์เหลืออีกไหม”


สงครามในหนัง จึงเป็นวิธีการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน เมื่อไม่ยอมกัน ก็ต้องสู้กัน


ที่น่าเคารพคือ การสู้ในหนังนี้คือสู้จริงๆ รู้แพ้รู้ชนะ กันจริงๆ แล้วยอมรับ ชื่นชม อีกฝ่ายอย่างจริงจัง มีการให้เกียรติในการรบ มีการขนานนามของศัตรูอีกฝ่าย ถามไถ่ชื่อแซ่กันก่อนจะรบ ยกย่องกันในฝีมือ


ตอนแรกนั้น ทัพโอชิชนะ ต่อมาถูกล้อม แล้วสุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เพราะเจ้าของปราสาทสั่งมา


เมื่อยอมรับ ก็เชิญให้ทัพรัฐบาลเดินเข้ามา แม่ทัพก็ชื่นชมทหารโอชิ และกลับกันคือ ยอมรับข้อเสนอของโอชิทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องส่งท่านหญิงไปเป็นสนม


สงครามในเรื่อง 500 ประจัญบาน คือ การเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน เป็นสงครามที่ “มีเกียรติ”


ส่วนเรื่อง Lone Survivor นำมาจากหนังสือชื่อเดียวกันที่เขียนโดยทหารหน่วยซีล ที่ไปรบในอัฟานิสถานแล้วรอดกลับมาคนเดียวจากหน่วย เลยเขียนบันทึกความจำไว้


ในหนังเรื่องนี้ มีจุดที่น่าสนใจสองประเด็นคือ


จุดเริ่มต้นเป็นการตัดสินใจทางจริยธรรม ที่ส่งผลให้ตายเกือบยกหน่วย


จุดที่สองเป็นการสะท้อนจริยธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองในอัฟานิสถาน ผมว่าในหนังสื่อเรื่องนี้ไม่ชัดในตัวหนัง แต่มาทำเป็น note ตอนหนังจบแทน ความจริง จุดนี้นั่นแหละที่ทำให้พระเอกรอดตาย


เรื่องจริยธรรมในการตัดสินใจเกิดขึ้น เพราะหน่วยซีลที่ไปออกลาดตระเวน ไปเจอชาวบ้านโดยบังเอิญ ต้องตัดสินใจว่าจะเก็บทิ้ง มัดไว้ปล่อยให้ตาย หรือจะปล่อยไปเลย สุดท้าย ปล่อยไป ทำให้กลุ่มตาลีบันทราบ แล้วหันกลับมาไล่ล่า โดยที่หน่วยลาดตระเวนของพระเอก ไม่มีกำลังสนับสนุนเลย ถูกตัดขาด


จุดที่สอง พระเอกกำลังจะโดนเล่นงานรอมร่อ แต่ชาวบ้านไปช่วยเฉยเลย ทำให้ตาบีบันไม่ยอมและหันมาถล่มหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านจนยับ แต่สุดท้ายกองกำลังสหรัฐมาช่วยทัน เพราะคนของหมู่บ้านไปส่งข่าวทัน


ถามว่า ชาวบ้านไปช่วยทำไม ถ้ารู้ว่า ทำแล้วเดี๋ยวตาลีบันมาเอาคืนแน่


เพราะมี Code of Honor อย่างหนึ่งที่สืบทอดมา 2,000 กว่าปีของเผ่าว่า ถ้าเจอคนที่กำลังถูกศัตรูไล่ล่า แล้วเหลือเพียงคนเดียว ในขณะที่ศัตรูมาเป็นฝูงนั้น ชนเผ่าจะต้องให้การช่วยเหลือผู้ที่กำลังจะแย่นั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม และไม่ว่าจะมีผลที่ตามมาอย่างไร (at all costs)


นี่เป็นจริยธรรมที่ผมว่า น่าทึ่งมาก ในไทยไม่มีอย่างนี้แน่ ถ้าเป็นผมเอง ผมก็คงเอาตัวรอดแน่นอน ไม่สนใจไปช่วยเขาแล้วเอาครอบครัวเข้าไปเสี่ยง


มันสะท้อนให้ผมเห็นและเข้าใจโลกมากขึ้นอีกนิดเลยว่า ยังมีสังคมที่มีคติความเชื่อที่น่ายกย่องอย่างนี้อยู่จริง


เป็นจริยธรรมที่มาจากพื้นฐานชีวิต พื้นฐานศีลธรรม ที่น่านับถืออย่างหมดหัวใจ คำว่า at all costs นั้น ยิ่งใหญ่มาก คือ ไม่คำนึงถึงแม้แต่ชีวิตของตนเอง และทั้งเขาทั้งเรา ไม่ได้เป็นศัตรูกันมาก่อน ที่ให้ความช่วยเหลือนี้ เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ


สังคมไทยเวลานี้ ผมว่า ขาดทั้งมิติของการเคารพ

ความเป็นมนุษย์ของอีกฝ่าย

การให้เกียรติกันและกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นศัตรูของเรา

ความช่วยเหลือโดยไม่เลือกข้าง แต่ทำเพราะมันเป็นหน้าที่

ศักดิ์ศรีที่จะทำตามคติธรรมพื้นฐานที่ซึมซับมา ไม่ใช่เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง


....


หรือเราจะต้องฆ่ากันจึงจะเป็นคำตอบ แล้วให้ผู้ชนะเหยียบซากศพขึ้นไปเป็นใหญ่เท่านั้น???



วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

Star Wars กับปัญหาอภิปรัชญาทางการเมืองระดับแกแล็กซี่





ผมเคยดูสตาร์วอร์สภาค 4 เป็นครั้งแรกเมื่อตอนเด็ก และก็ไม่ได้ดูต่ออีกจนกระทั่งเขาทำภาค 1 ออกมาฉาย ผมก็ได้ดูแค่ภาค 1 แล้วก็ขาดตอนไปอีก เมื่อสองปีก่อนเลยซื้อแผ่นดีวีดีเก็บไว้ครบ 6 ภาค แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ดู จนกระทั่งเมื่อคืน ผมดูสามภาคแรกรวดเดียวจบยันสว่าง ด้วยความสนุก และคิดเชื่อมโยงถึงปัญหาอภิปรัชญาการเมืองในหนังเรื่องนี้ 

ปัญหาของสาธารณรัฐ

คือ ปกป้องประชาธิปไตย ด้วยการให้อำนาจแก่คนๆ เดียวมากเกินไป  คนๆ นั้นจึงกระทำการอันสภาควบคุมไม่ได้ และจบลงด้วยการเปลี่ยนสาธารณรัฐให้กลายเป็นจักรวรรดิ โดยตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิ หรือพูดง่ายๆ คือ เป็นจอมเผด็จการนั่นเอง
 
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาแฝงคือ เรื่องสมดุลแห่งพลัง ซึ่งประกอบด้วยส่วนสว่าง และด้านมืด แต่ปัญหาก็คือ ด้านสว่างดันทำลายด้านมืดจนหมดไปเมื่อพันปีก่อน แต่คงยังหลงเหลือรอดมาได้ กระทั่งแฝงตัวมาเล่นการเมือง 

พูดง่ายๆ  คือ พวก ซิธ หรือ ดาร์ก ลอร์ด สู้พวกเจไดตรงๆ ไม่ได้ เพราะกำลังน้อยกว่า (แพ้ที่จำนวน) ทั้งที่อาจมีพลังมากกว่า (หรือมี พลังพิเศษสูงกว่า แข็งแรงกว่า ฉลาดกว่า) เลยต้องหันมายึดวิถีทางในระบบประชาธิปไตยแทน โดยเล่นการเมืองแล้วไต่อันดับมาทีละขั้น แบบใจเย็นๆ 

ในขณะเดียวกัน ก็วางแผนลับโดยการกล่อมให้สหพันธ์การค้าประกาศสงครามกับดาวนาบู นั่นเป็นจุดเริ่มของความวุ่นวาย อันเป็นที่มาของภาคแรกในสตาร์วอร์ส

จากนั้น ซิธ หลอกให้ราชินีนาบูเสนอตัวเองเป็นสมุหนายก หรือจะว่าไปก็คล้ายๆ ประธานาธิบดี มีอำนาจสูงแต่ก็ยังมีสภาคอยคานอำนาจไว้บ้าง 

แผนสองของ ซิธ คือ ยุยงให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่ง ผมมานั่งคิดๆ ดู เด็กนี่ในหนังน่าจะสะท้อนประเด็นทางศาสนาเอาไว้ เพราะเกิดมาเอง ไม่มีพ่อ แม่เป็นพรมจรรย์ กล่าวกันตามตำนานในหนังคือ อนาคิน สกายวอคเกอร์ น่าจะเป็นผู้นำสมดุลแห่งพลังกลับคืนมาสู่แกแลคซี่

ความจริง สมดุลมันหายไปตั้งแต่เหล่าเจไดไล่กวาดล้าง ซิธ จนสูญพันธ์ไปนั่นเอง มีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืด แต่ด้านสว่างกลับทำลายด้านมืด คิดว่าตัวเองเท่านั้นที่ดี ทำให้ด้านมืดกลับกลายเป็นด้านมืดจริงๆ หวนกลับมาทำลายล้างเหล่าเจไดจนเกือบสุญพันธ์ในภาคที่ 3

สิ่งที่ผมคิดได้จากหนัง

  1. ประชาธิปไตย ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นระบบที่ยังให้โอกาสในการตรวจสอบ ถ่วงดุล และที่สำคัญที่สุดคือ มันมีเวลาเริ่ม และจบ ส่วนเผด็จการไม่มี
  2. สังคมมีทั้งด้านมืด และด้านสว่าง การผลักดันคนกลุ่มหนึ่งโดยตรีตราว่า เลวกว่าตน นั้น สุดท้ายคนกลุ่มนั้นจะกลับมา เพราะในความเป็นคน ย่อมมีทั้งดีเลว ปะปนกันไป ถ้าไม่ใช่เทวดา ตราบนั้นก็ไม่ควรไล่ทำลายล้างอีกฝ่าย เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่า
  3. การใช้วิธีการไต่เต้าทางการเมือง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายนั้น กินเวลานาน แต่ถ้าเล่นการเมืองเก่งมากๆ จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองได้อย่างมหาศาลในบั้นปลาย
  4. การถ่วงดุลเป็นหัวใจสำคัญของทุกเรื่อง สมดุลแห่งพลัง ในความเห็นผมนะ คือ การรักษาดุลระหว่าง ดี-เลว มืด-สว่าง สว่างดีกว่ามืดแน่นอน และดีย่อมดีกว่าเลวแน่นอน เพียงแต่ในความเป็นคนตามธรรมชาติ มันมีทั้งสองอย่าง หากเรารู้จักจัดการมันอย่างเหมาะสม พลังจะยิ่งใหญ่มาก ในภาค 3 เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่เจไดเอง ยังเลือกใช้วิธีการสกปรก โดยการสั่งให้อนาคินไปหลอก/หักหลัง/สืบความลับจากสมุหนายก ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่สั่นคลอนความเชื่อของอนาคินต่อสภาเจได และทำให้เขาหันหน้าเข้าหาด้านมืดในที่สุด
  5. ปรมาจารย์โยดารู้เรื่องของอนาคินทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่อนาคินลงมือฆ่าตัวประหลาดกลางทะเลทรายที่สังหารแม่เขา อนาคินตอนนั้นทั้งที่ยังเป็นเจไดฝึกหัด ยังลงมือฆ่าไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิง ปรมาจารย์โยดานี่รู้มาตลอดแต่ไม่พูดอะไรสักคำ เหมือนกับจะเก็บไว้ใช้งาน ส่วนแพ็ดเม่นั้น รู้ว่าคนนี้ไม่ดี ยิ่งถลำตัวรัก ตามสไตล์สาวสวยชอบชายเลว ด้านมืดกลายเป็นความมีเสน่ห์ลึกลับ น่าค้นหา
  6. พวกเหล่าอาจารย์เจได ไม่เห็นคุณค่าความมีชีวิตของ “โคลน” ที่ถูกปรมาจารย์เจไดรุ่นก่อนสั่งให้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกองทัพรักษาความมั่นคงให้กับสาธารณรัฐ ทั้งที่สามารถสร้างหุ่นยนต์ดรอย์มาใช้งานได้ แต่กลับเลือกใช้ชีวิต ซึ่งตอนสั่งให้ไปรบ ไม่ค่อยคำนึงว่าจะอยู่หรือตาย ใช้งานในลักษณะไพร่ราบทหารเลว
  7. ตอนที่เจไดคนที่เป็นรองประธานสภาเจได จับกุมตัวดาร์ค ลอร์ด ซิธ เอาไว้ได้ อนาคินบอกว่าให้เอาตัวขึ้นศาล ว่ากันตามระบบ แต่ท่านรองฯ บอกไม่เอา ต้องฆ่าตรงนี้เลย ตายอย่างเดียว ความมืดจึงจะหมดไป จุดนี้เป็นจุดหักเหสุดท้ายที่ทำให้อนาคิน หันหน้าเข้าหาด้านมืดอย่างหมดลังเล ด้วยการฆ่าเจไดด้วยกันเป็นคนแรก เพราะท่านรองฯ เล่นไม่รักษาระเบียบ หรือโค้ดที่ตัวเองสั่งให้คนอื่นรักษา อย่างนั้น ก็เลิกเป็นเจไดหันไปหาด้านมืดดีกว่า ตัวละครเจไดจึงนับว่า มีด้านมืดเล็กๆ ซ่อนในตัวเกือบทั้งนั้น
  8. จริงๆ ผมออกจะเห็นว่า สภาเจได มีลักษณะเผด็จการนิดๆ เพราะความที่ตัวเองคิดว่ารู้ดีที่สุด ดีที่สุด ไม่มีประโยชน์แอบแฝง เลยทำให้ลึกๆ เจไดทุกคนเอาความเห็นตนเป็นใหญ่ทั้งสิ้น ตั้งแต่ไควกอน อาจารย์ของโอบีวัน รับเอาอนาคินมาเป็นศิษย์ ทั้งที่สภาเจไดคัดค้าน แสดงว่า ตัวเอง เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ฟังเสียงข้างมาก ตอนโอบีวันได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจในสภาเจได ก็แสดงหลายครั้งว่า ไม่แบ็คลูกศิษย์ตัว เพราะอาจจะเกรงว่า สถานะในสภาของตัวเองจะสั่นคลอน นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้อนาคิน เสื่อมศรัทธาในระบบประชาธิปไตย อาจจะเรียกลักษณะของเจไดได้ว่าเป็น เผด็จการคนดี หรือมีลักษณะเป็นขุนทหารชั้นนำได้
  9. ซิธ นั้นมีความมุ่งมั่นสูงมาก อดทนวางแผนมาเป็นเวลายาวนาน ต้องการอำนาจ หลอกใช้คน สั่งสังหารศิษย์ตัวเอง ฆ่าอาจารย์ตัวเอง ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจ และรักษาอำนาจเอาไว้ เป็นด้านมืดที่ชัดเจน เป็นคนเลว แต่ก็น่าจะพูดตามตรงว่า เป็นบุคลิกที่มีความจริงอยู่ในสังคม ถูกกดมานานเป็นพันปี เหมือนจะเป็นชนชั้นที่ไม่มีใครต้องการ แต่พอมาเป็นนักการเมืองก็หล่อเลย
  10. ผมชอบแพ็ดเม่ตรงที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวดี ยอดตายไม่ยอมอยู่เห็นคนรักกลับกลายเป็นคนชั่ว แต่ไม่ห่วงลูกเต้าเลยนะครับ เอาตัวรอดคนเดียวเลย ตั้งชื่อลูกเสร็จกลั้นใจตายซะงั้น ที่สำคัญโดนสามีบีบคอก่อนตาย (ฮา)


ยังไม่ได้ดูอีกสามภาคหลังครับ ดูจบเมื่อไหร่ค่อยมาต่ออีกที





วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

หลายชีวิต


เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม 2557 ผมเจอคน 4 คนในวันเดียว คนละช่วงเวลา แต่มีเรื่องราวที่แตกต่างกันมากอย่างน่าสนใจ

คนแรกคือ เอก เป็นชายหนุ่มที่มีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะทำวงการทรัพย์สินทางปัญญาไทยให้เจริญก้าวหน้า เอกเป็น licensee ของซอฟต์แวร์สิทธิบัตรชื่อดัง Matheo แต่วันนี้มุ่งหน้าทำเรื่องการฝึกอบรม อันเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ของเขา ผมพยายามช่วยเหลือโดยการชี้แนะเท่าที่ผมทำได้ ผมรู้จักเขาไม่นาน แต่ถูกชะตากัน

คนที่สองคือ คุณชบา เป็นลูกค้าเก่าแก่ของผมตั้งแต่สมัยทำงานที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ผมช่วยบริษัทคุณชบายกร่างคำขอสิทธิบัตรให้หลายตัว คุณชบาตามมาใช้บริการต่อตอนที่ผมไป ม.กรุงเทพ แล้ว และตามต่อมาที่สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ ที่ผมทำงานในปัจจุบัน นับเป็นเพื่อนทางการงานที่คบหากันมานานทีเดียว ผมไม่เคยได้รับเงินจากบริษัทหรือคุณชบาเลย วันนี้มาเยี่ยมผมเอาของขวัญปีใหม่มาให้ ผมรู้สึกดีใจมากที่มีคนคิดถึงความดีของเราที่มันมีอยู่น้อยนิด เพราะมันย้ำเตือนให้ผมคิดว่า เราควรทำมันต่อไป

ผมเชื่อว่า วันนี้คุณชบา น่าที่จะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในระดับที่ดีมาก เผลอๆ อาจสามารถไปบรรยายเรื่องนี้ได้ด้วยซ้ำ

คนที่สาม ผมเจอโดยบังเอิญ เป็นรุ่นน้องผมที่จุฬาฯ ผมรู้จักสามีเขาด้วย แต่ตอนที่รู้จักไม่รู้ว่าเป็นแฟนกัน เพราะอายุเขาห่างกันมาก และน้องผมคนนี้มันก็สวยด้วย ไม่น่าเชื่อวันนี้เจอกัน ผมทักถามถึงสามี แกบอกว่า หย่ากันแล้ว ในทางการงาน น้องคนนี้ประสบความสำเร็จโคตรสูงเลย วันนี้เป็น VP ของ CP  แต่ทางครอบครัวเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

ผมนึกในใจเสมอว่า ผมจะไม่ขอ Success in game แต่ Unlucky in family เป็นอันขาด ยังไงลูกต้องมาก่อน ชีวิตผมจากนี้ไปอยู่เพื่อลูก บางครั้งก็เพื่อตัวเองบ้าง แต่ลึกๆ คือลูกเท่านั้น

คนสุดท้ายที่เจอของวันคือ โอ๋ เป็นน้องที่ผมรู้จักตอนอยู่ ม.กรุงเทพ โอ๋เป็นคนที่ผมว่า ซื่อและไม่มีพิษภัย มีจิตสาธารณะสูง เราเคยร่วมงานกันหลายเรื่องตอนอยู่ ม.กรุงเทพ วันนี้เมื่อผมมีอำนาจเล็กๆ ก็พยายามดึงน้องมาช่วยงานที่ทำงานบ้าง และพยายามหางานให้ทำ

นิสัยช่วยทำงานให้คนอื่นรวยขึ้นนั้น เป็นนิสัยประหลาดๆ ที่ผมได้รับมาจากการทำงานนวัตกรรมมาตลอด ไม่รู้เป็นไง เวลาช่วยคน คนก็มักจะถามว่า จะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แต่ผมชอบช่วยฟรี 

เคยมีผู้จัดการโรงงานของบริษัทน้ำเมาแห่งหนึ่ง สวนกลับผมว่า “ผมไม่เคยเจอ คนมาสอนไม่ขอค่าตัว” 

ความจริงคือ เมื่อผมไปบรรยายนวัตกรรมให้ผู้บริหารของบริษัทโตโยต้า ผมก็ไม่เรียกค่าตัว เขาก็ให้หนังสือมาสองเล่มเท่านั้น ทั้งๆ ที่เดินทางไปกลับไกลมาก

คำพูดที่ผมใช้เสมอเวลามีคนถามว่า “อาจารย์จะมีค่าใช้จ่ายอย่างไรครับ/ค่ะ” คือ “ผมไม่มีค่าตัว”

เพราะผมรู้สึกเสมอว่า การให้ความรู้มันเป็นธรรมทานอันสูงส่ง

น้ำเน่านิดๆ แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เมียผมด่าประจำ ไม่ใช่ไม่เคยได้เลย ผมก็ได้รับเงินบ้างเหมือนกันถ้าเขาจะให้ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่ไม่เคยเรียกร้องค่าตัววิทยากร ทั้งที่ผมมั่นใจว่า ผมสามารถสอนเรื่องนวัตกรรมให้คนรู้เรื่องได้มากกว่า บรรดากูรูที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้


ทำทานด้วยความรู้ ถ้าหากเป็นการสะสมบุญอย่างหนึ่งแล้ว ผมก็หวังว่า สักวัน หรือ ชาติหน้า ผมอาจจะมีชีวิตที่ไม่ต้องกระเสือกกระสนมากนัก และน่าที่จะสบายกว่าวันนี้ตามสมควร

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รัฐธรรมนูญ


ในฐานะที่วันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ ผมมีความหลังมาเล่าให้ฟัง 

รัฐธรรมนูญฉบับจริงเป็นสมุดพับ เขียนด้วยลายมือ คนเขียนมีตำแหน่งที่เรียกว่า อาลักษณ์ มีอยู่หลายคน เวลาสอบเข้า สอบคัดไทย คัดลายมือ 

รัฐธรรมนูญฉบับจริงมี 3 ชุด เก็บไว้ต่างที่กัน ลายมือเหมือนกันทุกฉบับ ไม่มีผิด เพราะถ้าผิดใช้ลิควิดเปเปอร์ลบไม่ได้ ผิดรัฐประเพณี คนที่ปั๊มพระราชลัญจกรก่อนทรงลงพระปรมาภิไธย สมัยเมื่อ 15 ปที่แล้ว มีลุงคนหนึ่งคนเดียวที่อายุเลยเกษียณมานาน แต่หน่วยงานต้องจ้างต่อ เพราะแกทำราชการในตำแหน่งนี้มายาวนาน จนพระราชลัญจกรทั้ง 3 องค์ ที่ทำจากงาช้างสึกทุกองค์ มีแกเพียงคนเดียวที่ประทับได้กลมเกลี้ยงและเรียบเสมอ คนอื่นไม่สามารถทำได้ ผมเองลองหลายครั้งก็ไม่ได้ วันนี้ไม่รู้ยังมีชีวิตอยู่ไหม 

หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ผมมีวาสนาได้จับรัฐธรรมนูญจริงก่อนทรงลงพระปรมาภิไธย ผมขนลุก มันศักดิ์สิทธิ์ในความทรงจำมาก

วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจำได้ว่า อาจารย์กมล ทองธรรมชาติ เคยบรรยายว่า สมัยก่อน มีงานฉลองรัฐธรรมนูญใหญ่โต มีลีลาศ ดนตรี งานออกร้าน ฯลฯ บางคนไม่รู้นึกว่า รัฐธรรมนูญ คือ ลูกของพระยาพหลพลหยุหเสนา

อาจารย์พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ลากไม้เท้ามาสอนผมเรื่องรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ และความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ผมเรียนจบมาในชีวิตยังไม่คิดว่าจะมีศาลรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจริงในเมืองไทย แต่อาจารย์ทำให้ผมซาบซึ้งกับความหมายของรัฐธรรมนูญมาก

รัฐธรรมนูญของจริง ผมเห็น ผมจับ ผมสัมผัสกับอาลักษณ์ที่เป็นคนเขียนด้วยมือมาแล้ว ก่อนจะหยิบมาเปิดดู ลุงบอกให้ผมพนมมือแล้วยกพานจบศีรษะ รัฐธรรมนูญเป็นของสูง ของที่สมควรบูชายิ่ง ไม่ใช่เพราะมันศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ อภินิหาร แต่เพราะเป็นของสูง เป็นของที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานลงมาตั้งแต่เมื่อ 81 ปีที่แล้ว และไม่ว่าเราจะฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่มาจนถึงฉบับที่ 18 ก็ตาม รัฐธรรมนูญก็ยังคงเป็นหลักการปกครองที่สำคัญที่สุดของประเทศ ปราศจากรัฐธรรมนูญก็ไม่มีรัฐ ไม่มีประเทศ 

วันนี้วันรัฐธรรมนูญ ผมจะจำวันนี้ ปีนี้ ไปอีกนาน

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Killing Season


หมายเหตุ: Spoil ด้วยการเปิดเผยเนื้อเรื่องและไคลแมกซ์นะครับ ขออภัยทุกท่านล่วงหน้า

ผมดูหนังเรื่องนี้คนเดียวเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นหนังที่ผมชอบตั้งแต่ปก เพราะดาราสองคนนี้กับชื่อเรื่องน่าสนใจ เหมือนจะเป็นบู๊ล้างผลาญ อันเป็นรสนิยมห่วยแตกของผมในการดูภาพยนต์

แต่ปรากฎว่าผิดคาด เพราะเรื่องนี้ เป็นการปะทะกันทางจิตใจมากกว่า คนหนึ่งแค้นฝังจิต อีกคนมีบาดแผลลึกในใจที่ยากจะเยียวยา ทั้งสองเคยรบกันในสนามจริง เมื่อสงครามจบ ใจของคนทั้งสองยังไม่ยอมจบสงคราม ทำให้ต้องไล่ล่ากันจากบอสเนียมาถึงป่าหนาวในอเมริกา

ผมชอบผู้พันที่แสดงโดยปู่โรเบิร์ตมาก แกเหมือนคนเก็บกดสุดๆ หนีลูกหลานมาอยู่ในป่าคนเดียว กะจะแก่ตายเป็นทหารแก่กลางป่าคนเดียว ให้อารมณ์ Old Solider waiting to die มากๆ ขนาดสะเก็ดระเบิดที่ฝังในขา ยังไม่ยอมผ่าออก ขอเก็บมันไว้ยังงั้นเอง แล้วพอหน้าหนาวก็ปวดจนทรมานทั้งตัว

ส่วนคุณจอห์นนั้น แกแค้นเอามาก ก็สมควรเพราะโดนยิงที่กลางหลังจนเป็นอัมพาตไปหลายปี ต้องมาหัดพูดหัดเดินกันใหม่ สมควรแค้นอยู่ แต่ปู่โรเบิร์ตนั้นหมดซีอิีวไปนมนานแล้ว แกอยู่กับความหลังฝังใจ อายลูกหลานจนแม้กระทั่งไม่อยากพบหน้าหลานที่เกิดใหม่ด้วยซ้ำ แต่เลือกอยู่กับความจริงจอมปลอม ถ่ายรูปไปวันๆ

ตอนที่มาตามฆ่ากันในป่านั้น สองคนนี้ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ วิวในหนังสวยมาก ให้บรรยากาศที่สวยงาม สงบ หดหู่บ้าง ไม่ตื่นเต้นดุเดือด แต่ออกไปทางสงสารตาแก่สองคนนี้มากกว่า

ทั้งเรื่องเล่นกันอยู่สองคนกลางป่า

ชอบที่สุดคือ มุกของปู่โรเบิร์ตที่เล่าให้ลุงจอห์นฟังว่า สมัยหนึ่งในสงครามมีหญิงสาวคนหนึ่งหนีภัยไปหลบอยู่บ้านชายหนุ่มคนหนึ่ง คราวนี้อยู่ไปนานๆ เข้า สาวคนนั้นก็เกรงใจ เลยตอบแทนบุญคุณของชายหนุ่มด้วยการอมจุ๊บุให้ ปรากฎว่าหนุ่มคนนี้ แกเป็นคนมีศีลธรรมครับ แกไปสารภาพบาปกับพระในโบสถ์ หลวงพ่อก็บอกว่า ไม่เป็นไรลูกเอ๋ย คนเราทำผิดพลาดกันได้

พ่อหนุ่มบอกว่า...แต่...หลวงพ่อครับ ผมควรจะบอกเธอดีไหมครับว่า สงครามสงบไปนานแล้ว?

มุกของปู่โรเบิร์ตแกขำคนเดียว ลุงจอห์นเป็นชาวบอสเนียไม่เก็ตสักนิด แต่ตอนจะจบมุกนี้ก็ทำได้ดี คือ มันสะท้อนว่า สงครามจริงจบไปนานแล้วโว้ย เราจะมาฆ่ากันตอนนี้ทำไม

ผมชอบเรื่องนี้มากครับ ทั้งการแสดง การถ่ายมุมมองแปลกๆ ในป่า มันทำให้ผมนึกว่า สงครามที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ก็คือ สงครามในใจของเรานี่แหละ

เรื่องนี้ผมให้คะแนน Preeda Star 5/5 ครับ

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พุทธ vs คริสต์ ไฝว้กันเมื่อเกือบ 140 ปีที่แล้ว


หนังสือเล่มนี้ผมอ่านม้วนเดียวจบ สารภาพตามตรงว่า เข้าใจทั้งหมดไม่ถึง 30% แต่ที่รู้คือ เมื่อสมัยเมื่อเกือบ 140 ปีมาแล้วนั้น นักการศาสนาทั้งพุทธและคริสต์ "ถก" กันรุนแรงมาก แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า โต้วาที แต่เนื้อหานั้นหนักไม่ใช่น้อย เพราะ

พุทธเองก็ขุดโคตรเหง้าโมเซ (โมเสส) เอามาด่า บางครั้งก็โจมตีพระเยโฮวาตรงๆ ตอนที่พูดถึงพระแม่มารีนั้น โต้ว่ามารีเป็นทั้งเมีย แม่ และลูกของพระเจ้า งงเมพ เพราะพระแม่มารีเป็นหญิงพรหมจรรย์ เท่ากับว่าการปฏิสนธินั้นเกิดกับพระเจ้า เลยเป็นเมีย พระเจ้าลงมาเกิด  (พระเยซู)  กลายเป็นแม่ ต่อมาในฐานะคริสต์ชนก็เป็นลูกอีก

นอกจากนั้น ตามความคิดของผม ผมเห็นว่า เข้าขั้น ด่าพ่อล่อแม่ กันทีเดียว

ส่วนฝั่งคริสเตียนก็ใช่ย่อย เริ่มละเลงเวทีก่อนโดยอ้างคำบาลีมาเป็นยก ซึ่งผมก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกับความหมายเท่าไหร่ นัยว่าเป็นพระอภิธรรม เริ่มจากการโจมตีมหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งลำพังตัวพระสูตรก็ยากแก่การทำความเข้าใจแล้ว ดันเอานักบวชศาสนาคริสต์มาอธิบายยิ่งยากใหญ่

จากนั้น ยกต่อมา แกว่าพระพุทธเจ้านั้นแย่มาก ด่าไปถึงชาติปางก่อนว่า ทิ้งลูกทิ้งเมีย ยกให้ใครก็ไม่รู้ ยังงี้ไม่น่าให้อภัย ส่วนเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิปรายคือ ทัศนคติความเชื่อในเรื่องของวิญญาณ และแถมด้วยว่า ถ้าวิเศษจริง ทำไมปล่อยให้แม่ตายในวันที่ 7 หลังคลอด

อันนี้ ผมว่าโดยภาพผิวเผินนั้น แตกต่างกัน พุทธเราเชื่อเรื่องกรรม คริสต์เชื่อโลกหน้า แต่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พุทธไม่มีพระเจ้า คริสต์มีผู้สร้าง

เถียงกันในมุนนี้ทั้งคู่ ยกบาลีมาว่ากันไปมา ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก

หนังสือเล่มนี้ น่าจะเป็นหนังสือหายากเล่มหนึ่ง ผมโชคดีที่เจอ สำหรับข้อมูลการแบทเทิลของทั้งสองท่านนี้คือ

1. เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 26, 28 สิงหาคม 2416 ณ บริเวณบ้านพักตากอากาศปานะทุระ ใกล้นครโคลอมโบ ศรีลังกา
2. ระหว่าง พระมิเคตตุวัตเต คุณานันทะเถระ กับ นักบวชเดวิด เดอ ซิลวา กับคณะ
3. บันทึกการโต้วาทีครั้งนี้ (เป็นภาษาอังกฤษ โดยคนอเมริกัน) พิมพ์เป็นหนังสือที่แพร่หลายมากในอเมริกาและยุโรป
4. คนที่มีบทบาทในการฟื้นฟูศาสนาพุทธระยะ 100 กว่าปีก่อนหน้านี้ เป็นชาวอเมริกัน
5. หนังสือเล่มนี้ พิมพ์โดยมหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ มกราคม 2543

ลองไปหาอ่านมาประดับความรู้กันครับ ผมยืมเล่มนี้มาจากห้องสมุดมหาลัยกรุงเทพ


วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Like A Virgin: คิดแบบเวอร์จิ้น



หนังสือเล่มนี้หนาเอาการ 300 กว่าหน้า ผมใช้เวลาอ่านประมาณ 3-4 วัน ด้วยความสนุกสนาน เพราะท่านเซอร์ริชาร์ด เป็นคนเก่งจริงๆ นี่เป็นหนังสือเล่มแรกของท่านที่ผมได้ลิ้มรส

ความเป็นผู้ประกอบการดูเหมือนจะง่าย เมื่อคิดแบบเวอร์จิ้น ผู้เขียนได้ให้หลักการที่ผมเองก็ได้ยินได้ฟังมาเยอะ แต่ในภาษาของเขานั้นสนุกดี ย่อยง่าย

ผมคิดว่า คนที่เรียนวิชาผู้ประกอบการทั้งหลาย ควรจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้บ้าง แม้นไม่ได้มีทฤษฎีอะไรมากมาย แต่ตัวอย่างและแนวทางที่ท่านเซอร์ฯ ได้ว่าไว้ ก็น่าสนใจไม่น้อย

แนะนำให้อ่านได้ทั้ง เอาจริงจัง ขำขัน และฆ่าเวลาครับ สนุกได้สาระ