วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2556

10 แนวโน้มนวัตกรรมในปี 2556

แนวโน้ม 10 นวัตกรรมที่คาดว่าจะได้เห็นในปี 2556 มีดังนี้ครับ

1. เทคโนโลยีเชื่อมสังคม (Social Everything) ในชีวิตปัจจุบันและในอนาคตที่จะมาถึงนี้ เราถูกเทคโนโลยีเชื่อมเข้าด้วยกัน ซึ่งส่งผลมหาศาล ไม่ใช่เฉพาะกับบุคคลธรรมดาเท่านั้น แต่กับธุรกิจหรือองค์กรเองก็หนีไม่พ้น เทคโนโลยีเชิงโซเชี่ยลได้กลายเป็นแกนกลางในการทำงาน การบริหารองค์กรระยะต่อไปจึงถูกขับเคลื่อนด้วยฐานตัวนี้จากภายใน ส่งผลให้ธุรกิจเปิดกว้าง มีความคล่องตัวมากขึ้น เพิ่มศักยภาพในการค้าการพาณิชย์ และอาจทำให้องค์กรอ่อนไหวต่อการถูกโจมตีได้ด้วยเช่นกัน การปรับตัวองค์กรเข้าหาเทคโนโลยี และหลอมธุรกิจของตนเข้ากับเครือข่ายสังคมออนไลน์จึงเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ขององค์กร กระบวนการสื่อสารและการตลาดจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก แนวโน้มนี้จะพุ่งขึ้นสูงตามความต้องการของผู้บริโภคที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการเพิ่มจำนวนของสมาร์ทโฟนและการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ

2. สมาร์ทแมชชีน (Smart Machine) ปี 2556 เราจะเห็นข่าวการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในเรื่องหุ่นยนต์ พร้อมกับการสร้างเครื่องมือ เครื่องจักรที่ชาญฉลาดมากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องปัญญาประดิษฐ์ในแบบฉบับที่สมบูรณ์เหมือนในภาพยนต์ฮอลลีวู้ดยังอยู่อีกห่างไกล แต่เราจะเห็นพัฒนาการในทิศทางของนวัตกรรมนี้ชัดเจนขึ้น สมาร์ทแมชชีนจะเปลี่ยนโฉมหน้าปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแทนคนในฐานะที่เป็นจุดดึงดูดความสนใจ ใช้เพื่อทดแทนแรงงานฝีมือราคาแพง หรือใช้ในงานที่มีความเสี่ยงสูง ที่สำคัญคือ เทคโนโลยีในเรื่องนี้ลงลึกระดับล่างมากขึ้นเรื่อยๆ เราเคยเห็นนักศึกษามากมายพัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์เพื่อการแข่งขัน และต่อไปเราจะได้เห็นนักเรียนประถมพัฒนานวัตกรรมในเรื่องนี้ด้วย สมาร์ทแมชชีนจะไม่ทำให้คนตกงาน แต่สร้างงานใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาแทนที่ ท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีหุ่นยนต์จะผนวกเข้ากับชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เครื่องใช้เครื่องครัวในบ้าน รถยนต์ และเครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้ประกอบการทำงาน

3. ข่าวสารท่วมทวี (Big Data) ณ วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ข้อมูลข่าวสารที่หาได้ในโลกนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหยุด และอัตราการเติบโตของข้อมูลนี้นั้นจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง ทำให้เราสามารถจัดการกับข้อมูลจำนวนมากมายมหาศาลได้อย่างเป็นระบบ ง่ายขึ้น เข้าถึงได้สะดวกทุกที่ทุกเวลาตราบเท่าที่มีเครือข่าย และแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย คำถามคือ ถ้าหากเรายังคงเก็บข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในปัจจุบันนั้น เราจะทำอย่างไรกับปัญหาสองประการที่มาพร้อมกัน หนึ่งคือ เรื่องของความปลอดภัย เพราะคลาวด์นั้นง่ายและฟรีก็จริง แต่เราก็เสี่ยงที่ข้อมูลเราจะสูญหายไป หรือมีคนโจรกรรมข้อมูลของเรา อีกเรื่องคือ วันหนึ่งหากเรามีข้อมูลมากเกิน 1,000 Terabytes หรือ 1 Petabyte เราจะจัดการกับข้อมูลมหาศาลนี้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพในระดับบุคลมากที่สุด แนวโน้มนี้สะท้อนกลับไปยังองค์กรว่า จะจัดการกับฐานข้อมูลของตัวเองอย่างไรด้วย เพราะแนวคิดของการจัดเก็บคลังข้อมูลไว้เพียงที่ใดที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ล้าสมัยและมีความเสี่ยงมากเกินไป ระบบการจัดเก็บแบบพหุจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับองค์กร

4. กายภาพบูรณา (Integration of Physical) เราจะเห็นของกายภาพในแบบเดิมน้อยลงทุกที ตั้งแต่กล้องถ่ายรูป เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องเล่น MP3 ร้านขายของ บัตรเครดิต การประชุม ฯลฯ สิ่งที่มีลักษณะจับต้องได้จะพัฒนาไปเป็นรูปแบบดิจิตอลที่เข้าถึงง่ายและบูรณาการทั้งหลายทั้งมวลเข้าด้วยกันในอุปกรณ์เดียวกัน ซึ่งในเวลานี้คือ สมาร์ทโฟน ดังนั้น สิ่งที่จะตามมาคือ การพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนแพลทฟอร์มโมบาย ซึ่งจะตามมาเป็นระลอก คลื่นลูกเก่าจะเกิดและหายไปอย่างรวดเร็ว โดยมีแอพใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ทุกชั่วโมง สิ่งที่มีความเป็นไปได้อย่างมากคือ ในปี 2556 เราจะเริ่มเห็นแอพเด่นๆ ที่เกี่ยวกับการแพทย์และสุขภาพเพิ่มขึ้น แม้แต่การพบแพทย์ที่โรงพยาบาลจริงก็อาจเริ่มต้นด้วยการเข้าแอพบนสมาร์ทโฟนของเรา ตามด้วยคำแนะนำรายวันตลอดการรักษาผ่านการแจ้งเตือนในแอพ และปิดท้ายด้วยการสรุปข้อมูลการรักษาพร้อมทั้งนัดหมายดูอาการบนปฏิทินส่วนตัวของเรา

5. เอาท์ซอร์สกลับทิศ (Reverse Outsourcing) ตอนที่เรามีกระแสโลกาภิวัตน์ใหม่ๆ เราเห็นทิศทางการเคลื่อนย้ายทุนและแรงงานมายังซีกโลกตะวันออก แต่ปัจจุบันนี้เราต้องยอมรับว่าโลกนี้แบนจริงๆ ขอบเขตระหว่างประเทศและระบบเศรษฐกิจบางลงทุกขณะ ดังนั้น ภาพที่เราอาจจะได้เห็นกันต่อไปคือ การส่งงานไปยังตะวันตกจากโลกตะวันออก นั่นคือ ประเทศที่กำลังพัฒนาส่งงานเฉพาะบางอย่างไปให้แรงงานในโลกที่พัฒนาแล้วทำ ก่อนจะประกอบบูรณาการเข้าอีกครั้งในประเทศที่สามก็ได้ แนวโน้มนี้ไม่ใช่การส่งงานยากหรืองานไฮเทคกว่าไปให้คนที่เก่งกว่าทำ แต่เป็นแนวทางของการ “กระจาย” งานไปให้ตามที่ซึ่งมีความสามารถหลักตรงตามความต้องการ ดังนั้น ข้อได้เปรียบเสียเปรียบจากนี้ไปจึงไม่ใช่เรื่องของค่าแรง แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการผลิต ประสิทธิภาพในการผลิต และศักยภาพในการทำนวัตกรรม

6. โทรทัศน์เปลี่ยนโฉม (TV Transform) ปีที่ผ่านมาเราได้ยินเรื่องของสมาร์ททีวี แต่ยังไม่โด่งดังเปรี้ยงปร้างมากเท่าไหร่ ปี 2556 น่าจะมีผู้เล่นเข้ามาในวงการทีวีอัจฉริยะมากขึ้น พร้อมกับผู้พัฒนาคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ไม่ได้หมายถึง รายการโทรทัศน์ แต่เป็นแอพพลิเคชั่นสำหรับทีวีโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มที่แตกต่างจากโมบายคอนเทนต์มาก และการเชื่อมโยงระหว่างการอยู่กับที่เพื่อดูทีวี กับประสบการณ์จากโลกภายนอกจะทำให้โลกทัศน์ของผู้ชมเปลี่ยนแปลงไป แอปเปิ้ลเองก็ยอมรับมานานว่าสนใจในอุตสาหกรรมนี้ และน่าที่จะซุ่มทำอะไรไว้อยู่ ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นในปีนี้ก็ได้

7. ธนาคารหมดยุค (Reshaping Banks) ระบบการเงินกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เมื่ออะไรต่ออะไรต่างกลายเป็นของเสมือนบนโลกดิจิตอลกันเกือบหมดแล้ว ภาพที่เราเคยคุ้นชินกับการที่ลูกค้าเข้าคิวยืนรอในธนาคารทุกวันสิ้นเดือนอาจกลายเป็นอดีต เมื่อธุรกรรมทั้งหลายสามารถทำได้ทางอินเทอร์เน็ต และที่สำคัญคือ บทบาทของธนาคารในฐานะเป็นผู้เล่นสำคัญของการปริวรรตเงินตรานั้นอาจสูญเสียให้กับแนวโน้มใหม่ของการลงขันกันเพื่อช่วยเหลือชุมชนของตัว ซึ่งเป็นแนวทางที่ใหม่มากในโลกซึ่งเรียกกันว่า Crowdfunding เมื่อผู้มีความคิดดีไม่มีเงินลงทุนเพียงพอ แต่มีคนเห็นโอกาสจึงช่วยกันระดมทุนช่วยเหลือคนละเล็กละน้อยแล้วสามารถทำให้โครงการเกิดขึ้นได้ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำและมีเงื่อนไขบังคับน้อยกว่าการกู้ยืมเงินจากธนาคาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเครือข่ายของชุมชนเสมือนครอบคลุมเพียงพอ อาจไม่มีแม้แต่ความจำเป็นที่จะต้องลงขันกันเป็นเงินสด แต่สามารถลงทุนร่วมด้วยการ “แลกเปลี่ยน” วัตถุดิบที่ต่างฝ่ายต่างมี เข้าร่วมในโครงการกลายเป็นเจ้าของร่วม หรือรับผลประโยชน์ในทางพาณิชย์ด้วยกัน 

8. เครือข่ายเป็นภัย (Security Threat) เนื่องจากความนิยมชมชอบในการใช้เฟซบุ๊คของประชาชนซึ่งในนั้นมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานและเป็นลูกจ้างมากที่สุด จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ข้อมูลหรือความลับขององค์กรจะถูกเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ค หรือแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวพันตัวอื่น นอกจากนี้ การที่พนักงานมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์แบบ “สมาร์ท” ของตัวเอง ซึ่งอาจมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีกว่าอุปกรณ์ที่บริษัทแจก ทำให้พนักงานใช้งานเครื่องมือของตนร่วมกับเครื่องมือของบริษัทปะปนกัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงการถูกโจมตีจากไวรัสคอมพิวเตอร์ น่าเสียดายที่แนวโน้มนี้เป็นของจริงที่หยุดไม่อยู่ มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นขาเดียวเท่านั้น

9. เกมคลั่ง (Gamification) เกมตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปจะไม่ได้เป็นแค่เกมเพื่อความสนุก ที่ผลิตโดยบริษัทเกมเท่านั้น แต่เป็นเกมที่บริษัทซึ่งทำมาค้าขายในสินค้าหรือบริการอื่น หันมาสร้างเพื่อให้ผู้บริโภคสนใจและเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของตนผ่านการเล่นเกมมากขึ้น เกมจึงกลายเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ทั้งการประชาสัมพันธ์ การโฆษณา การทำซีเอสอาร์ การหาความต้องการใหม่ การสำรวจผู้บริโภค การสื่อสารทางตรงกับลูกค้า ฯลฯ แน่นอนว่า บริษัทเหล่านี้อาจไม่ได้ผลิตเกมด้วยตัวเอง แต่ไปจ้างบริษัททำเกมจริงๆ มาช่วยทำการผลิตเกมให้ตรงกับสเปกที่ตัวเองต้องการ ประเด็นสำคัญคือ เกมจะเข้ามามีบทบาทโดยตรงต่อการประชาสัมพันธ์และการตลาด ผู้บริโภคก็ชอบ และไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดให้สนใจสินค้าหรือบริการอย่างเดียว แต่สนุกไปกับการรับ “สาร” ที่บริษัทต้องการ “สื่อ” ด้วย

10. การศึกษาเพื่อปวงชน (Tuition-free education) เรื่องที่ผมเก็บไว้ท้ายที่สุดนี้น่าสนใจทีเดียว เป็นแนวโน้มที่ค่อยๆ เกิดในปี 2555 และน่าจะลุกลามต่อไปอีก 2-3 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย ถามว่าจะถึงขนาดเปลี่ยนแปลงวงการศึกษาในปัจจุบันหรือเปล่า ผมเชื่อว่าไม่น่าจะถึงขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เส้นแบ่งระหว่างการศึกษาในระบบกับการศึกษาอย่างอิสระเหลือน้อยลง เป็นเรื่องที่เข้ามาคั่นตรงกลางระหว่างห้องเรียนกับอีเลิร์นนิ่งที่เป็นกระแสในอดีต รูปแบบการศึกษาใหม่นี้ ตั้งอยู่บนฐานของการพัฒนาหลักสูตรที่มีมาตรฐานสูงแบบให้เปล่า มีกลุ่มสนับสนุนคอยช่วยเหลือผ่านเครือข่าย มีแม้แต่อาจารย์จริงๆ ในมหาวิทยาลัยจริงๆ คอยตอบคำถาม ดังนั้น เรื่องคุณภาพของคนที่เรียนในรูปแบบนี้ไม่ใช่ประเด็น เพราะเรื่องที่ซ่อนอยู่คือ การเกิดแรงงานที่มีฝีมือเฉพาะในจุดใหม่ๆ ของโลกโดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งคนเหล่านั้นอาจสามารถเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ชั้นสูงได้โดยที่ไม่เคยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ซึ่งหมายความว่า ภูมิศาสตร์เศรษฐกิจและแรงงานน่าจะเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว ใครสนใจลองเข้าไปดูตัวอย่างได้ที่ www.khanacademy.org และ www.uopeople.org


ทั้ง 10 แนวโน้มนี้ มีทั้งเรื่องที่เป็นปัญหาและโอกาส การรู้ก่อนและเตรียมตัวแต่เนิ่นน่าที่จะช่วยให้เราอยู่ในสนามแข่งขันทางธุรกิจได้อย่างแข็งแรงครับ


พิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจวันที่ 3 มกราคม 2556 หน้า 20

ปีใหม่ รองเท้าเก่า ความฝันที่ยิ่งใหญ่


ขึ้นปีใหม่ทั้งที ในฐานะที่เป็นคนชอบขีดเขียน ก็สมควรบันทึกเรื่องดีๆ ไว้เสียต้นปี เพื่อเป็นศรีแก่ตัวเอง
เผอิญวันนี้ตื่นมาวิ่งแต่เช้ามืด ตีสี่ครึ่ง เจอคนหนุ่มสาวสามคนชายหนึ่งหญิงสอง พากันพยุงกึ่งคลานออกมาจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดในคอนโด ก่อนที่หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งปล่อยอาเจียนออกมาเสียงดังตรงข้างทางก่อนเดินเข้าตึก ส่วนผมนั้นวิ่งอยู่ห่างๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ และผมก็วิ่งทับรอยอาเจียนแบบนี้มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ครั้นนึกขึ้นได้ว่า รองเท้าของเราคู่นี้ช่างเป็นเพื่อนยากที่อยู่กันมาหลายปีดีดัก ผมรักเขามาก แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็กำลังเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ประเดี๋ยวผมก็คงต้องสวมรองเท้าคู่ใหม่ซึ่งซื้อเก็บไว้มานานแล้ว

ฉับพลัน ผมก็นึกแวบขึ้นมาในใจทันทีว่า ชีวิตเรานี่หนอก็เหมือนรองเท้าเพื่อนเกลอนี้เสียจริง ต่อให้มันดีแค่ไหน ทำงานมาหนักหนาสาหัสแค่ไหน

สุดท้ายมันก็ต้องสึกต้องหรอไปตามสภาพ ก็เหมือนกับตัวเรานี่แหละ

เกิดมาเป็นคน คนที่ขายเวลาในชีวิตแลกกับค่าจ้างรายเดือน สุดท้ายไม่วันใดก็วันหนึ่ง ย่อมมีคลื่นใหม่เข้ามาในการทำงาน เขาเก่งกว่า สดกว่า เราก็ต้องถอยให้เขาไป ต่อให้มีประสบการณ์อย่างไร วันหนึ่งก็ต้องแพ้ความชรา ชีวิตการทำงานแบบเป็นลูกจ้างมันก็คืออย่างนี้ เราคือผู้ถูกเลือก แม้ว่าเราจะเลือกที่ทำงานได้ แต่เราเลือกนายไม่ได้ เมื่อเราเลือกนายไม่ได้ เราก็กำหนดชีวิตเราเองไม่ได้ทั้งหมด เสี้ยวหนึ่งอย่างไรก็เป็นของนาย

และเมื่อถึงวันหนึ่งที่เราอ่อนแรงเต็มที วันนั้น เราอาจจะพ่ายทั้งกายทั้งใจให้กับคนอื่นที่เขายังไหว ในขณะที่เราหมดแรงชั่วคราวก็เป็นไปได้ การเป็นลูกจ้างทำให้เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน

หากเราเป็นเจ้าของรองเท้า แม้รองเท้าคู่นั้นจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อมันหมดสภาพ เราก็ต้องทิ้งมันไป

ผมเดินทางมาถึงกลางคนแล้ว และปีใหม่ที่ผ่านมา มันทำให้ผมเขยิบเข้าไปหาความชรามากขึ้นๆ ทุกปี แล้ววันหนึ่งเราก็จะกลายเป็นรองเท้าวิ่งเก่าๆ ขาดๆ แม้จะมีคราบรอยของความช่ำชองสนามมากแค่ไหน มันก็คือรองเท้าที่ไม่มีนักวิ่งอยากจะสวมมันเพื่อลงแข่งขัน

มีทางไหนได้บ้างไหมที่ผมจะสามารถเอาชนะคราบความชราในชีวิต?

เมื่อเราแก่ลงกว่านี้อีกสักสิบปี สิบห้าปี เราจะอยู่ตรงไหนในองค์กร เรายังจะมีที่ยืนที่มั่นคงอีกไหมในชีวิต

วิ่งไปพลาง หัวก็คิดไปพลาง แม้นหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจะลากพยุงกันขึ้นตึกไปแล้วก็ตาม แต่สมองมันไม่สามารถหยุดครุ่นคำนึงแบบนี้ พอๆ กับที่ขาและน่องของผมยังคงทำหน้าที่ซ้ำๆ ซากๆ ในการพาสังขารอันเริ่มเหี่ยวย่นไปรอบหมู่ตึกอย่างสงบ

แล้วผมควรจะหาทางออกอย่างไรดี เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นเสมือนรองเท้าเก่าๆ ในองค์กร

ผมสรุปด้วยตัวเองอย่างรวดเร็วว่า จากนี้ไปเป้าหมายเราคือ การเป็นนักวิ่งสิ ไม่ใช่เป็นรองเท้า เป็นรองเท้าก็แค่ลูกจ้างขายเวลา แต่เป็นนักวิ่งคือผู้กำหนดว่า เราจะวิ่งเส้นทางไหน ยาวนานเท่าใด จะวิ่งเมื่อใด และจะหยุดเมื่อไหร่ ความสุขหรือทุกข์ทั้งหมดย่อมบังเกิดแก่นักวิ่ง ส่วนรองเท้าแม้จะมีความอารีต่อเรามากเพียงไร วันหนึ่งเราก็จะลืมมัน แล้วเราก็ต้องอยู่กับตัวเราต่อไป

ดังนั้น ปณิธานของผมจากนี้ไปอีกสองปี ผมจะมุ่งมั่นกับการเป็นนักวิ่ง ซึ่งในความหมายของชีวิตจริงคือ การกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง ผมจะเลิก "วิ่ง" เพื่อแสวงหาเป้าหมายอย่าง “รองเท้าวิ่ง” เสียที แต่จะ "วิ่ง" อย่าง "นักวิ่ง" เพื่อตัวเอง ด้วยตัวเอง

มันคงยาก อันที่จริง การตื่นมาวิ่งตอนตีสี่เป็นประจำ มันยากจริงๆ นั่นแหละ

แต่ถ้าวันนี้ เราไม่ลุกขึ้นมา เราก็จะไม่สามารถวิ่งได้เสียที
 

หมายเหตุ: รองเท้าวิ่งในรูปคือ ASICS รุ่น Kayano Gel ซื้อมาจากช้อปที่ฮาราจูกุ เมื่อปี 2552 ในราคา 7,500 บาท ถ่ายเมื่อ 7 มกราคม 56 ด้วย iPhone