วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผู้กล้าหาญแห่งยุคสมัย

เฟดเดอริค เฮเกล นักปรัชญาการเมืองนามกระเดื่องเคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์ไม่ได้สอนอะไรให้แก่มนุษย์เลย เนื่องเพราะว่ามนุษย์มักจะทำความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังที่เคยเป็นมาในอดีต และทั้งที่มนุษย์ก็รู้ดีว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาบางอย่างนั้นโหดร้าย ไม่น่าจดจำ และไม่ควรที่จะให้มันเกิดขึ้นมาอีก แต่เหตุการณ์ที่เลวร้ายคล้ายๆ กันก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำกันอยู่เสมอตามกงล้อประวัติศาสตร์



นักปราชญ์บางท่านกล่าวไว้ว่า อันที่จริงประวัติศาสตร์ตามที่เราเข้าใจนั้นส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนหลักก็คือ สิ่งที่เขียนและกำหนดขึ้นโดยผู้ชนะ เหตุการณ์เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ชนะย่อมมีสิทธิ และสามารถกำหนดบทบาทในอนาคตของผู้แพ้ได้



บางครั้งเราจึงอาจเรียนรู้ความจริงบางอย่างตามประวัติศาสตร์ อย่างที่มันถูกกำหนดให้เป็น



แล้วความจริงแท้ของประวัติศาสตร์นั้นคืออะไรกันแน่?



สิ่งที่เราเห็น ณ วันนี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ทันทีเมื่อเราลืมตาหลังจากตื่นนอนในวันรุ่ง จริงและเท็จจะถูกปรุงแต่งกันต่อไปในชื่อที่เราคุ้นหูว่า ข้อเท็จจริง เราจึงไม่สามารทราบความจริงแห่งประวัติศาสตร์ได้จากตัวประวัติศาสตร์เอง เพราะมันมีทั้งเท็จและจริง นานวันเข้าสาระสำคัญก็อาจจะกลายเป็นว่าเราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า



อำมาตย์ใหญ่และเหล่าบัณฑิตทั้งหลายร่ำเรียนมาในชั้นสูงเพียงเพื่อเพิกเฉยต่ออำนาจการตัดสินใจของมหาชน โดยหลงลืมไปว่าความรู้ที่ตนได้มานั้นสร้างจากทรัพย์ หยาดเหงื่อและแรงงานของพลเมืองผู้ที่อาจไม่มีความรู้เท่าเทียม แต่ก็มีสิทธิและเสียงไม่ด้อยกว่ากัน



มวลชนล้วนแล้วแต่เป็นเสียงบริสุทธิ์ที่ต้องรับฟังด้วยความนอบน้อม มิใช่เย่อหยิ่ง และเหยียดหยาม เพราะปวงชนผู้ที่ถูกบัณฑิตดูหมิ่นนั้นก็คือผู้ที่สร้างชาติอย่างแท้จริงด้วยแรงงานในการผลิต จะมากจะน้อยก็ควรให้ที่ว่างแก่พวกเขาในการแสดงความเห็นตามระบอบที่เป็น



แต่กระนั้น ก็ในประวัติศาสตร์ตลอดมา บัณฑิตมักจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมและบ้านเมืองโดยลำพัง และพลเมืองก็มักจะเป็นเบี้ยที่มีทางเดินจำกัด และเป็นฝ่ายถูกกำหนดมากกว่าที่จะกำหนดตัวเอง



ผู้อ่านสามก๊ก คงรู้จักโจโฉดี ในนวนิยายอิงเรื่องสามก๊ก โจโฉคือ นักปกครองที่เลวร้าย ผู้มุ่งหวังจะทำมิดีมิร้ายต่อบัลลังก์พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในขณะที่เล่าปี่คือ ผู้ที่จะมากอบกู้ราชวงศ์ฮั่น แต่ผู้ที่กลับสถาปนาตนเป็นเจ้าก่อนคือ เล่าปี่



จิ๋นซีฮ่องเต้ ถูกอาบด้วยภาพแห่งความโหดร้ายทารุณมานับพันปี ในที่สุดกลับมีผู้สร้างภาพยนตร์ยกย่องเชิดชูให้เป็นผู้สร้างชาติอย่างสมเกียรติ มีการฉายเผยแพร่ออกไปทั่วโลก



ในนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องไซ่ฮั่น ฌ้อปาอ๋องแม้จะบุ่มบ่ามเบาปัญญา แต่ก็จริงใจไม่มีเล่ห์เหลี่ยม แม้จะตายอย่างน่าอนาถแต่ก็กล่าวกันว่าได้กลับชาติมาเกิดใหม่เป็นกวนอู



ผู้นำที่ถูกป้ายสีในวันวานและวันนี้ แท้จริงจึงอาจเป็นผู้กล้าคนหนึ่งที่อาจหาญต่อกรกับคลื่มลมแรงก็ได้ ความจริงจะประจักษ์แก่ตาและใจในสักวันหนึ่ง



บรรพชนก่อกรรม อนุชนรับวิบากหรือผลของกรรมนั้น ดีชั่วเจ้าตัวอาจไม่ได้รับผลทันตา แต่ย่อมตามสนองถึงลูกหลานไม่รุ่นใดก็รุ่นหนึ่ง



ผู้กล้าที่แท้จริงคือ ผู้ที่หยัดยืนต้านทานกระแสแห่งปัญหาและอุปสรรคที่โหมกระหน่ำ เพื่อพานาวาที่ตนคัดท้ายมุ่งไปสู่จุดหมายที่ดีเพื่อปวงชน



และแม้ยิ่งกระแสลมจะถาโถมมาหนักและแรงเท่าไหร่ ผู้กล้าย่อมยิ่งกระชับเสื้อให้มั่นคงและน้อมตัวต้านกระแสลมเพื่อต่อสู้ มิใช่ปล่อยตัวให้พัดปลิวไปตามกระแส



เพราะถ้าทำเยี่ยงนั้น จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าได้อย่างไร



ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของปวงชน ผู้กล้ายิ่งต้องมั่นคงและหนักแน่น ขุนเขาและหินผาที่ว่าแกร่ง ใจของผู้กล้าย่อมต้องยิ่งแข็งแกร่งกว่า



ในยุคสมัยแห่งปัจจุบันกาลที่ข้อมูลข่าวสารเผยแพร่โดยเสรีทั้งความจริงและความเห็นปะปนกันจนแยกไม่ออก บางครั้งก็ยากที่จะชี้ชัดอะไรลงไปให้ชัดเจนว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว



ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยหลายท่านกล่าวว่า ไม่มีคำว่ากลางสำหรับความดีและความชั่ว เพราะดีคือดี และชั่วก็คือชั่ว แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ในท่ามกลางมนุษย์ปุถุชนเราท่านวันนี้ จะจำแนกคนดีที่ดีอย่างสมบูรณ์ กับคนชั่วที่ชั่วอย่างไร้ตำหนิได้อย่างไร ดีชั่วมันก็ปะปนกันในหมู่ฆราวาส บาปบ้างบุญบ้างคลุกเค้ากันไป ก็ค่อยๆ ใช้ศีลธรรมปรับปรุงแก้ไข ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ได้สติ สุขสงบก็จะกลับมา



ผู้กล้าบางครั้งก็ต้องจำยอมรับความเจ็บปวดไว้เองบ้าง ใครจะประณามเยี่ยงไร ขอให้จิตใจแน่วแน่มั่นคงต่อปณิธาน มุ่งมั่นไปในทิศเบื้องหน้านำพานาวาไปสู่จุดหมาย



เพื่อจรรโลงความดีงามในสังคมไว้ต่อไป

1 ความคิดเห็น: