วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ตาดหมอกในความทรงจำ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2554 ผมพาลูกเมียเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อไปนอนค้างแรมกลางป่าที่อุทยานแห่งชาติตาดหมอก ความจริงผมเพิ่งเคยได้ยินชื่ออุทยานนี้ตอนได้โบชัวร์งานวิ่งตาดหมอก ครั้งที่ 3 เมื่อปีกลาย ตั้งใจจะมาตั้งแต่ต้นปี 53 แต่ฝันเพิ่งจะเป็นจริงในปีนี้ จุดประสงค์จริงๆ คือ จะพาครอบครัวมาลงแข่ง 5.1 ก.ม. ซึ่งผมก็ซ้อมลูกสาวทั้งสองคนมาตลอด จับลูกวิ่งรอบๆ คอนโดจนมั่นใจว่า ใบเตย 4 ขวบ กับต้นกล้า 6 ขวบ วิ่งไหวแน่ ส่วนเมียผมไม่มั่นใจ เพราะเขาไม่ได้ซ้อมเลย แต่ก็คงเอาตัวรอดได้เพราะเคยจับไปวิ่งแข่ง 10.5 ก.ม. มาก่อน ผมก็คิดว่าคงจะวิ่งไปแบกลูกไป อุ้มไปลากไปบ้างคงถึง เพราะเป็นทางภูเขา ลูกๆ คงเหนื่อย ตัวเล็กยิ่งหัวใจไม่แข็งแรงด้วย

ชีวิตจริง ทุกอย่างผิดคาดไปหมด
เราเดินทางออกจากกรุงเทพบ่ายโมง โอ้เอ้วิหารรายตามปั๊มน้ำมัน กว่าจะถึงเพชรบูรณ์ก็เย็นแล้ว และพอถึงทางเข้าตาดหมอกก็เกือบหกโมงแล้ว

อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วมาก ความมืดมาเยือนโดยไม่บอกกล่าว

18.00 ผมยังขับรถวนขึ้นเขาอยู่กับความเปลี่ยว ถนนแคบมาก ไม่มีรถสวน ในใจนึกตลอดว่า นี่เรามาผิดทางหรือเปล่า
18.45 เห็นแสงไฟจากที่พักแล้ว
19.00 ผมจอดรถ โชคดีมากที่เราได้ที่ว่างใกล้ๆ ด้วย
19.15 เริ่มมหกรรมกางเต้นท์ ผมมะงุมมะหงารากับมันพักใหญ่ เพราะเมียรักซื้อของขวัญชิ้นนี้ให้ผม เป็น Master Lagoon ที่ผมใฝ่ฝันมานาน เต้นท์หนัก และกางยากมาก สมัยเป็นผู้นำค่าย YMCA ผมแข่งชนะจับเวลากางเต้นท์สามเหลี่ยมได้เป็นที่หนึ่งของรุ่น เรื่องกางเต้นท์ เข้าป่า ไม่เคยแพ้ใคร แต่เต้นท์ที่เมียซื้อให้นี่กางยากที่สุดในชีวิต
20.00 เต้นท์เสร็จแล้ว อลังการมากกว่าที่คิด ลูกทั้งสองแฮปปี้มาก กระโดดกลิ้งเล่นในเต้นท์อย่างสนุกสนาน อากาศหนาวและชื้นมาก ถ้าไม่มี Fly Sheet คงได้นอนเปียกแน่ ดาวนับพันดวงลอยเต็มท้องฟ้า กลุ่มเต้นท์ของเพื่อนบ้านดูเล็กไปถนัดตา แต่ก็ดูมีความสุขกันทุกคน ส่วนใหญ่เอาเตาอั้งโล่ขึ้นมาย่างไก่ ย่างหมูกินกัน ผมเอาเตาแก๊สกระป๋องมา แต่โชคร้ายที่ตัวเตาพังคามือผมเลย แก๊สสามกระป๋องที่เตรียมมาไม่มีประโยชน์โดยสิ้นเชิง

20.30 ลูกเริ่มร้องว่าหิว ผมก็หิว และพยายามก่อกองไฟ ในที่สุดไฟติด แต่ด้วยความที่ฟืนชื้นมาก ทำให้ไฟกองนี้มีปัญหา
21.00 ไข่ดาว ไข่เจียวถูกทยอยส่งออกไปให้ลูก

22.00 ข้าวต้มเสร็จแล้ว หอมกลิ่นถ่าน ลูกๆ ทานกันคนละนิดหน่อย เพราะง่วงนอนมาก ผมก็ง่วง

23.00 ทอดนักเก็ตกุ้งให้ลูกกิน แต่คนเล็กหลับแล้ว
24.00 หลับกันหมดทั้งแม่ทั้งลูก ผมยังเมามันกับการทอดนักเก็ต เพื่อให้ลูกกิน ในใจคิดว่าพรุ่งนี้ไฟจะต้องติดยากมาก ทอดวันนี้ดีกว่า พรุ่งนี้แค่อุ่นก็พอ การที่เราพยายามทำอาหารโดยที่ไฟไม่แรงนั้น ทำให้ชีวิตยุ่งยากที่สุด

01.00 ในที่สุดผมก็สร้างไฟกองโตได้สำเร็จ เป็นความสะใจส่วนตัวแท้ๆ ขลุกอยู่กับไอ้ฟืนกองนี้มาทั้งคืน สมัยวัยรุ่นชอบก่อไฟมาก เหมือนกลับไปเป็นเด็กได้เล่นในสิ่งที่ชอบเลย เอาตีนไปผิงไฟแก้หนาว หัวชื้นๆ เปียกๆ ไม่มีหมวกใส่ เสื้อที่สวมก็บางๆ ความจริงนะหนาวมาก แต่ด้วยความที่ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา เลยไม่ค่อยกังวลกับความหนาวเท่าไหร่

02.00 ผมเข้านอน ในใจคิดว่าพรุ่งนี้ลูกจะตื่นไหวไหม เต้นท์เพื่อนบ้านยังร้องเพลงเล่นกีต้าร์อยู่ และมีทีท่าว่าจะไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนกัน ผมไม่มีผ้าห่ม เพราะยกให้ลูกกับเมียหมด กลัวเขาหนาว ผมเลยนอนขดอิงหลังลูกคนโต ทั้งสามคนหลับสบายมาก พ่อคนนี้นอนขดเป็นกุ้ง และหลับๆ ตื่นๆ ตลอดด้วยความหนาว

อาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554
05.00 ผมลุกจากที่นอน เริ่มมีเสียงดังจากกองจัดการแข่งขัน ผมเริ่มก่อกองไฟ

05.05 ไฟติดง่ายกว่าที่คิด ทั้งที่อากาศชื้นมาก ผมเจอฟืนแห้งดุ้นโต 3 ท่อนด้วยความบังเอิญ ไฟกองใหญ่สำเร็จด้วยความ "ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง" ส่วนอีก 3 ชีวิตหลับสนิท ความจริงการนอนป่านี่ช่วงที่หลับสบายที่สุดคือย่ำรุ่งกับตอนแดดอ่อนนิดนิดแทบไม่อยากลุกจากเต้นท์เชียวล่ะ ผมก็ไม่อยากปลุกเขา เลยเดินไปที่จุดสตาร์ทลำพัง คนเยอะกว่าที่คิดมาก เขาจัดงานได้ดีจริงๆ ดีกว่าคนกรุงเทพจัดงานอีก ทั้งที่งานนี้ชาวบ้านแท้ๆ ผมตัดสินใจลงแข่งระยะไกลที่สุด เพราะไหนๆ ก็มาแล้วลูกไปไม่ไหว ผมก็ลุยเองแล้วกัน 21.1 ก.ม.
จริงๆ ผมขาดการซ้อมระยะไกลมาพักใหญ่ ไม่ค่อยเชื่อน้ำยาตัวเองว่าจะวิ่งจบด้วยหรือเปล่า เพราะเมื่อคืนก็ไม่ได้นอน การอดนอนแล้วมาวิ่ง ทำให้การแข่งขันล้มเหลวทุกครั้ง แต่ก็ตัดสินใจในที่สุด

05.30 เดินเอาปาท๋องโก๋ร้อนๆ 5 ตัวมาฝากลูกในเต้นท์ เด็กยังหลับอยู่ ผมปลุกเมียบอกว่า ให้ลุกมาดูกองไฟบ้างนะ เดี๋ยวมันจะไหม้เต้นท์ และฉันเอาปาท๋องโก๋มานี่แล้ว น่าจะอร่อย ให้ลูกกินตอนตื่นนะ เดี๋ยวฉันไปวิ่งก่อน

06.15 เริ่มสตาร์ท ความจริงอากาศยังหนาวมากอยู่ และยังมืดอยู่เลย แต่ก็คงจะสายไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ทางผู้จัดบอกว่าอีกแป๊บฟ้าก็จะเปิด

เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ ผมมีนาฬิกาติดตัว แต่ไม่ได้ดูเลย ผมวิ่งไปเรื่อยๆ ไม่มี mp3 ไม่มีความกังวล มีแต่ใจ สองขา กับความมุ่งมั่นที่จะวิ่งเรื่อยๆ

ผมเห็นจุดกลับตัว 5.1 แล้ว เชื่อเต็มร้อยว่าลูกเมียผมไม่ไหวแน่ เพราะตั้งแต่เริ่มวิ่งมาขึ้นเขาตลอด

ยังวิ่งขึ้นเขาเรื่อยๆ อยู่ มีสลับทางลงสั้นๆ และทางราบสั้นๆ ยังไม่เห็นจุดกลับตัวจุดแรก

ผมเริ่มเหนื่อยมาก แต่ยังไม่ยอดหยุดเดิน ฟ้าสว่างแล้วตอนที่กลับตัวบริเวณน้ำตก

กิโลเมตรที่ 15 อากาศยังเย็น หายใจเป็นควัน แดดออกแต่ไม่รู้สึกว่าร้อนเลย

กิโลเมตรที่ 18 ยังไม่ถึงจุดกลับตัวสุดท้าย เหนื่อยจริงๆ หัวใจเต้นหนักมาก ร่างกายเริ่มไม่ยอมเคลื่อนไหวตามใจคิด ทางขึ้นเขาชันมาก ผมต้องหยุดเดิน เพราะคิดว่าหัวใจทำงานหนักกว่า 95% แล้ว หอบเร็วมาก นักวิ่งกลุ่มที่ตามหลังมาก็เดินเหมือนกัน ทางชันยาวตลอด 1 ก.ม. คนที่วิ่งลงสวนมาบอกตลอดว่า เดินครับเดิน อีกยาวไม่ต้องรีบ

ในที่สุดก็ถึงจุดกลับตัวที่ กิโลเมตร 19 ใจเริ่มไม่ไหวแล้ว ล้าจริงๆ

กิโลเมตรที่ 20 เจอลูกๆ แล้ว ต้นกล้ายิ้ม ผมหอมลูก 1 ครั้ง

ถึงเส้นชัยในที่สุด หัวใจจะขาด เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่สนใจด้วย แต่มีความสุขดีที่แข่งจนจบ

ผมมองหาของกิน และเอาข้าวต้มเห็ดหอมร้อนๆ สองชามถือเดินไปฝากลูกที่เต้นท์



ในที่สุดผมก็ทำได้อีกครั้ง กับการแข่งระยะไกล แม้ว่าจะทำเวลาได้ไม่ดี แต่เป็นสนามที่สวยงามมาก เป็นสนามที่ผมประทับใจจริงๆ ได้นอนกลางป่า เต้นท์ติดลำห้วย สามารถก่อไฟได้ทั้งที่ปัจจุบันอุทยานเขาห้ามการก่อไฟเป็นอันขาด ผมเข้าใจว่างานนี้เขาหยวนๆ มั๊ง ผมโชคดีมากที่ได้จุดพักดี มีห้วย ดาวสวย นั่งริมกองไฟ ทำอาหารให้ลูกเมียกิน ต้มน้ำร้อนชงกาแฟ ผ่าฟืนไปนั่งคิดไป เมียผมก็เลยถ่ายรูปข้างบนไว้
ผมคิดว่า ชีวิตผ่านอะไรมามากมาย ผมเริ่มแก่ ลูกก็เริ่มโต มีดเดินป่าในมือคมมาก ผมใช้ครั้งสุดท้ายนานมาแล้ว ตอนที่หยิบขึ้นมาลับ สนิมเขรอะไปหมด ก็คงเหมือนกับชีวิตที่ผ่านมา สนิมเกาะเยอะ ต้องหมั่นลับหมั่นถูชีวิต ผมอาศัยการวิ่งและปั่นจักรยานเป็นหินลับที่ฝนสนิมออกไปจากชีวิต ย่างเข้าปีที่สองของการเป็นนักกีฬา ผมแกร่งขึ้นมากในเชิงหัวใจ แม้สังขารจะร่วงโรยตามเวลาก็ตาม
ความฝันยังคงอยู่ นี่เป็นประโยคที่ติดหัวผมตลอดเวลาที่อยู่ตาดหมอก ตลอดเวลาที่วิ่ง ตลอดทุกลมหายใจของความเหน็ดเหนื่อยอย่างเป็นสุข
ปีหน้าผมจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ลาก่อนตาดหมอก

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ยามาดะ นางามาสะ


หนังสือเล่มนี้เป็นนวนิยายที่เกี่ยวกับเมืองไทย โดยมีตัวละครเอกเป็นคนญี่ปุ่น และเขียนโดยคนญี่ปุ่น


ผมรู้จัก "ยามาดะ" มาหลายปีแล้ว ด้วยความนับถือเขาเป็นอย่างมาก และคิดเล่นๆ ว่าหากท่านยามาดะไม่ถูกวางยาพิษจนตาย ไม่แน่ว่าอยุธยาอาจมีราชาเป็นคนญี่ปุ่นก็ได้ เพราะชีวิตท่านโลดโผนมาก แม้ว่านักเรียนไทยทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินชื่อท่านเลยในบทเรียนประวัติศาสตร์ปกติ การรบทางความคิด เหลี่ยมคู ระหว่างท่านยามาดะและเพื่อนรักอีกคนคือ ออกญากลาโหม มีคนไทยอีกคนที่เขียนไว้คือ อาจารย์คึกเดช กันตามระ ผมว่างานเขียนของอาจารย์นี่ชั้นครูมาก ผมนับถือจนหมดหัวใจ ในหนังสือชื่อ "เจ้าไล" อาจารย์ให้ออกญากลาโหมเป็นตัวเอก และว่ากันตามตำนาน สุดท้ายกลายเป็นพระเจ้าปราสาททอง เมื่อปลายปี 2553 มีภาพยนต์ไทยเรื่องหนึ่งชื่อ "ยามาดะ ซามูไรอโยธยา" ผมยังไม่ได้ดู และก็อยากดู คงจะหามาดูเร็วๆ นี้ แต่ก็ทราบว่าภาพยนต์เรื่องนี้คงไม่ค่อยถูกโฉลกคอหนังไทยนัก ไม่น่าแปลกใจเลย ชีวิตของท่านยามาดะนั้นให้แง่คิดสำคัญคือ คนเราสามารถต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ อำนาจและเงินทอง แต่วาสนาเป็นตัวกำหนดว่า เราจะอยู่กับมันได้นานแค่ไหน ชีวิตของซามูไรต่างแดนจึงได้จบลงที่นอกอยุธยา ในขณะที่เพื่อนอีกคนกลายเป็นกษัตริย์ในที่สุด ชีวิตต้องดูกันยาวๆ ครับ และหากชีวิตยังไม่สิ้น เราก็ต้องดิ้นกันต่อไป

วิถีแห่งโนบิตะ


"ชัยชนะของคนไม่เอาถ่าน"

หนังสือเล่มนี้บอกไว้อย่างนั้นครับ ผมเคยอ่านบทความหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้นานมาแล้ว จนกระทั่งช่วงวันหยุดปีใหม่ 2554 นี้เองที่ได้มีโอกาสอ่านฉบับจริงจนจบ วันหยุดยาวครั้งนี้ ผมอ่านหนังสือมากจริงๆ เฉลี่ยวันละ 3 เล่มคงจะได้ ไม่ใช่เพราะมีเวลาหรอก แต่เป็นเพราะยืมหนังสือมามาก และเป็นหนังสือดีๆ ทั้งนั้น หลายปีที่ผ่านมา ผมซื้อหนังสือน้อยลง แต่ใช้วิธีการยืมหนังสือจากห้องสมุดแทน เพราะพบว่าทุกครั้งที่จ่ายเงินเพื่อซื้อหนังสือ ผมจะซื้อเกินกว่าที่คิดเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หมดค่าหนังสือไปเยอะมาก ประมาณจ่ายค่าเทอมลูกได้เลย ก็เลยมาคิดว่า ยืมเอาดีกว่า อาจจะได้อ่านหนังสือช้าหน่อยแต่ก็ไม่ทำให้เราต้องจมเงินไปเยอะกับกองหนังสือเต็มบ้าน เต็มบ้านจริงๆ ลูกๆ ก็เลยได้อานิสงค์ของสังคมบริโภคหนังสือจากพ่อตัวแสบไปด้วย

กลับมาที่โนบิตะอีกครั้ง ผมว่าคนเขียนทุ่มเทเอามากๆ ที่คิดค้นหาแง่มุมที่คนดูการ์ตูนอย่างเดียว หรือเอาแต่เสพอย่างเดียวคงคิดไม่ถึง ผมว่า เขาคิดไปไกลกว่าคนแต่งการ์ตูนในบางครั้งอีกด้วยซ้ำ โนบิตะเป็นคนไม่เอาไหนจริงๆ แต่คนไม่เอาไหนคนนี้ ท้ายที่สุดก็มายืนแถวหน้าได้ดีกว่าที่คาด

สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ "ไอ้ตู่" เป็นคนที่เหมือนตัวตลกในวงเพื่อนเสมอ ถูกล้อ ถูกแกล้งสารพัดสารเพ แถมก็เรียนไม่เอาไหน เรื่องผู้หญิงก็ย่ำแย่ จีบใครไม่เคยสำเร็จ หน้าตาก็งั้นๆ ไปวัดได้อย่างเดียว

พอเรียนจบ หมอนี่สอบเข้ารับราชการได้เป็นคนท้ายๆ ของรุ่น แต่วันนี้ ผมเชื่อว่า "ตู่" น่าจะเป็นข้าราชการแถวหน้าในรุ่นแล้ว และอาจจะได้เป็น ซี 9 คนแรกของรุ่นเลยก็ได้

ชีวิตผมเองก็เจอ "โนบิตะ" แบบ "ตู่" ไม่บ่อยนัก แต่ชีวิตของพวกเขาน่าทึ่งเสมอ ผมเองหากจะให้เปรียบก็น่าจะคล้ายกับเดคิซุกินิดๆ เพราะตอนเรียนผมอยู่แถวหน้าๆ ของรุ่น สมุดเลคเชอร์ผมกลายเป็นของสามัญบ่อยๆ เรื่องคะแนนติดท้อปไฟว์ ท้อปเทนนี่ประจำ แต่ไม่ค่อยอยากเอาดีทางด้านเรียนมากนัก ชอบทำกิจกรรมมากกว่า

ชีวิตจริงคนเรา ผมเชื่อว่ามีส่วนผสมของตัวละครหลายตัว อยู่ที่ว่าตัวไหนจะเด่น ตัวไหนจะแอบซ่อนอยู่ แต่คนที่มีลักษณะเด่นด้านด้อยมากๆ อย่างโนบิตะ หรือ ตู่ คงไม่พบบ่อยนัก และเมื่อบพบแล้วก็คาดการณ์อนาคตยากมาก เพราะชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ

ผมเคยเห็นผู้ใหญ่ที่นับถือหลายคนต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวนในตอนแก่ หรือตอนที่กำลังจะเกษียณ ทั้งที่ทำความดีมามาก บางคนเป็นใหญ่เป็นโตเร็ว แต่ชีวิตก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่อาจก้าวข้ามขึ้นสูงไปอีกได้ คนที่ตามมาข้างหลังกลับแซงหน้าไปจนหมด สุดท้ายเกษียณในตำแหน่งเดิมที่ขึ้นมาเป็นครั้งแรก

อย่างที่บอก ชีวิตมันต้องดูกันยาวๆ

ผมเองยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองจะเดินหน้าอย่างไรในปี 2554 นี้ รู้เพียงแต่ว่าจะพยายามทำทุกวันให้ดี เท่านั้นเอง