ปรีดา ยังสุขสถาพร
หลายวันก่อนผมไปเลือกซื้อ สินค้าที่ห้างโมเดิร์นเทรดตามปรกติ พอกลับบ้านก็แกะห่อฉีกพลาสติกหุ้มอาหารออกมา โดยทั่วไปแล้ว เวลาลูกค้าอย่างเราไปเลือกซื้ออาหารพร้อมรับประทานจากห้างเหล่านี้ เขาก็จะวางอาหารไว้บนจานหรือชามพลาสติกบ้างหรือโฟมบ้าง แล้วก็เอาพลาสติกบางหุ้มอาหารเอาไว้
ที่ทำให้ผมแปลกใจมากก็ คือ บนชามพลาสติกที่ว่านั้น มีคำว่า Biodegradable ซึ่งแปลว่าพลาสติกที่เป็นบรรจุภัณฑ์ เป็นพลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ความจริงแล้ว สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) ต้นสังกัดที่ผมทำงานอยู่นี้ ได้พยายามผลักดันเรื่อง พลาสติกชีวภาพมาหลายปี
แต่ มีปัญหาหนึ่งที่ติดขัดมาตลอดคือ ประเด็นการยอมรับของผู้บริโภคในด้านราคา เพราะการผลิตของที่ดีเป็นนวัตกรรมและมีความใหม่ในแง่การบริโภคอย่างนี้ แรกๆ มันจะมีราคาแพงมากกว่าของเดิม ซึ่งก็เนื่องมาจากสเกลการผลิตที่ยังไม่มีมากเท่า และการสำรองวัตถุดิบก็ยังทำได้จำกัด เป็นสาเหตุที่ทำให้ราคาต้นทุนการผลิตสูง นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายทางด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ย่อมสูงกว่าเราใช้เทคโนโลยีเก่าแน่นอน
ทว่าปัญหาพวกนี้จะค่อยๆ สลายไป พร้อมๆ กับการขยายตัวของการบริโภคสินค้านวัตกรรมและผลที่ค่อยๆ ตามมาก็คือ ต้นทุนและราคาของสินค้าจะลดลงมาจนเทียบได้กับสินค้าเดิมที่มีอยู่และบาง ครั้งก็อาจจะมีราคาถูกกว่าด้วยซ้ำ
ท่านที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยคง จำได้ว่า สมัยที่กล่องโฟมออกสู่ตลาดใหม่ๆ นั้น มันก็มีราคาแพงอยู่เหมือนกัน คนยุคนั้นก็ยังนิยมเลือกใช้ถุงพลาสติก กระดาษ หรือกล่องพลาสติกมากกว่า ต่อมาราคาของกล่องโฟมก็ลดลงมามาก ทำให้คนหันมาใช้เพิ่มขึ้นเนื่องจากความสะดวกสบายในการใช้การบริโภค และก็ไม่ได้ทำให้ราคาของสินค้าที่ต้องการจะซื้อจริงๆ เปลี่ยนแปลง
ผม ยังจำได้ว่า สมัยหนึ่ง เวลาที่เราสั่งอาหารใส่กล่องโฟมนั้น คนขายเขาจะขอคิดค่ากล่องต่างหากด้วย สมัยนี้ค่ากล่องรวมในค่าอาหารเสร็จสรรพ
ที่ เล่ามาผมไม่ได้ต้องการเชียร์การบริโภคกล่องโฟม เพราะมันสร้างปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก ทำให้นักสิ่งแวดล้อมทั้งหลายต้องกลุ้มใจในทุกวันนี้ แต่สิ่งที่ผมต้องการชี้ให้เห็นเป็นประเด็นก็คือ สินค้าใหม่ ที่เป็นนวัตกรรม และมีข้อดีหลายๆ อย่างนี้ บางครั้งก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้ผู้บริโภคยอมรับ และหันมาใช้ เมื่อมีการใช้มากขึ้น เรื่อยๆ ต้นทุนการผลิตและราคาของสินค้านวัตกรรมนั้นก็จะลดลงมา จนกระทั่งสามารถแข่งขันกับสินค้าเดิมได้ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ในที่สุด
ที่ ผมอธิบายมานี้ ก็เป็นความพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติจริงๆ ก็มีการใช้พลาสติกชีวภาพกันบ้างแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตามที แต่ตลาดก็เริ่มหันมาใช้กันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผมเดาว่าเขาน่าจะอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยน เนื่องจากนโยบายการใช้พลาสติกชีวภาพนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกประกาศใช้กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในบางมลรัฐของ สหรัฐอเมริกา ถึงกับประกาศแบนถุงพลาสติกกันเลย ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้ต้องหันมาใช้พลาสติกชีวภาพอันเป็นมิตรต่อสิ่ง แวดล้อม และไม่สร้างปัญหาในเรื่องขยะล้นเมืองให้เกิดขึ้น
ท่าน ผู้อ่านลองทดสอบด้วยตนเองก็ได้ครับ เวลาที่ท่านไปชอปปิ้งในห้างโมเดิร์นเทรด เป็นพลาสติกชีวภาพหรือไม่ อย่างไร แล้วลองอีเมลมาคุยกันได้ครับ ผมเองเจอหลายชิ้นในหลายๆ ที่ แต่แปลกใจที่ทำไมทางห้างเขาถึงไม่ประกาศเปิดตัวออกมาให้ชัดเจน ซึ่งน่าจะได้ผลดีต่อภาพลักษณ์ของห้างด้วย
ทว่า เมื่อมานึกถึงในอีกแง่ ทางธุรกิจน่าที่จะมีการพูดคุยกันมาระยะหนึ่ง เพราะกิจการอย่างนี้ถือว่ามีการบริโภคพลาสติกในปริมาณมหาศาล เมื่อใช้เสร็จแล้วก็กลายเป็นขยะที่ไม่อาจย่อยสลายได้เองนับเป็นปัญหาที่ยาว นานและยากต่อการแก้ไข การที่ธุรกิจหันมาเป็นฝ่ายริเริ่มในเรื่องนี้เอง โดยที่แม้ไม่มีกฎหมายมาบังคับเหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว แสดงให้เห็นประการหนึ่งว่า "ช่องทางตลาดนั้นเปิดกว้างขึ้นแล้ว" และผู้ค้าเหล่านี้จะเป็นผู้ซื้อที่มีปริมาณความต้องการซื้อที่สูงมาก
ถ้า ท่านลองไปดูที่ญี่ปุ่น อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพเติบโตมา มีการใช้กัน "ตั้งแต่คนบนฟ้าลงมาจนถึงคนเดินดิน" นี่ไม่ได้พูดเล่นนะครับ ผมหมายความถึง การใช้บนเครื่องบินโดยสาร ในรูปแบบของช้อน ส้อม ตะเกียบ ถ้วยชากาแฟ จาน ฯลฯ พอลงมาบนดินก็มีการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งกว่าตั้งแต่ในรูปแบบประกอบของ อุปโภค ไปจนถึงของเล่น ของใช้ตั้งแต่ตุ๊กตาเด็กเล่นไปจนถึงชิ้นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์
ทำให้อุตสาหกรรมนี้ถือเป็น "อุตสาหกรรมดาวรุ่ง" ตัวหนึ่งในประเทศเลยทีเดียวเรื่องจานชามที่ทำจากพลาสติกชีวภาพนี่ ยังถือเป็นแค่ตลาดเดียวนะครับ ยังมี "ตลาดสินค้าไฮเทค" อย่างเช่น มือถือ และคอมพิวเตอร์ ที่ปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้พลาสติกชีวภาพมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบเช่นกัน
จริงๆ ในต่างประเทศเขาใช้ "ข้าวโพด" เป็นวัตถุดิบหลักในการนำไปผลิตพาสติกชีวภาพ ของไทยเราไม่ค่อยมีข้าวโพด แต่ที่มีมากคือ "มันสำปะหลัง" จึงมีความพยายามซึ่งก็ผลักดันโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ที่อยากจะเห็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตรของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ด้านชีวมวล และมีวัตถุดิบด้านการเกษตรที่มีศักยภาพทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ เฉพาะมันสำปะหลังนั้น ประเทศไทยผลิตหัวมันสดเป็นอันดับ 3 ของโลก และส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก
ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถสร้างอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพที่มีแหล่งวัตถุดิบจากแป้ง มันสำปะหลัง จะทำให้ได้กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วมากกว่าการลงทุนสร้างโรงงานมันเส้นถึง 21.4 เท่า หรือเท่ากับมีรายได้ใหม่มากถึง 144,180 ล้านบาท โดยยังไม่รวมถึงผลประโยชน์ที่ประเทศได้จากการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอีก มหาศาล
คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณจำนวณ 1,800 ล้านบาท มาเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพโดยเฉพาะ ซึ่งความจริงผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมพลาสติกของบ้านเราเองนั้นมีจำนวนมาก
หาก จะหันมาผลิตพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ สามารถทำได้ทันที หากติดขัดเรื่องเงินทุน เทคโนโลยี หรือต้องการข้อมูลเรื่องซัปพลายเออร์ ลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ www.nia.or.th/bioplastics หรือโทรศัพท์มาที่เบอร์ 0-2644-6000 เพื่อนัดหารือ เสนอโครงการขอรับการสนับสนุนด้านเงินทุน หรือขอข้อมูลที่สนใจได้ตลอดเวลาครับ
(ตีพิมพ์ในผู้จัดการ 360 ํ รายสัปดาห์์ ฉบับวันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2552)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น