วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฤดูนวัตกรรม

สถานการณ์น้ำท่วมครั้งรุนแรงในปี 2554 นี้ ให้บทเรียนอะไรแก่ประเทศไทยเราหลายอย่าง อย่างแรกเลยคือ เราได้รู้ว่า ที่ผ่านมาเราไม่มีระบบ ต่อไปเราก็จะได้แก้ไขได้ตรงจุด อย่างที่สองคือ เราได้เรียนรู้แล้วว่า การตั้งศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหญ่ในที่เดียวกัน ทั้งเซเว่น อีเลฟเว่น และเทสโก้ โลตัส เมื่อน้ำท่วมก็ปิดประตูขนส่งจนหมด แสดงว่า เรายังมีโอกาสในการพัฒนาโลจิสติกส์ให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกเหลือเฟือ ต่อมาเรารู้ว่า เวลาผู้คนตระหนกตกใจกับน้ำท่วมโดยเฉพาะคนกรุงเทพนั้น เป็นอย่างไร และพ่อค้าหัวใสนั้นแก้ไขปัญหาอย่างไร

อีกทั้งยังได้เห็นว่า หน่วยงานแห่งชาติทางด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์นั้น สามารถพัฒนากะละมังผสมปูนให้เป็นเรือด้วยเทคนิคทางด้านวิศวกรรมชั้นสูงอย่างไร หลังจากที่ชาวบ้านได้พัฒนาหลากหลายเวอร์ชั่นที่ใช้งานได้จริงก่อนหน้าแล้วหลายเดือนในราคาที่ถูกกว่าและดูดีกว่า ในขณะที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่นสามารถผลิตของที่ใช้งานได้จริงออกแจกชาวบ้านเพื่อช่วยชีวิตในสถานที่จริง และยังมีนักวิจัยบางสถาบันที่ออกโทรทัศน์ว่า ตนสามารถทำสิ่งนี้สิ่งนั้นได้แล้ว แต่เมื่อถูกถามว่า ขอให้ชาวบ้านเอาไปใช้ได้ไหม กลับมีค่าลิขสิทธิ์ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ส่วนอีเอ็มบอลก็สร้างข้อถกเถียง และสามารถทำให้ผู้คนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์กับความเชื่อเป็นเรื่องเดียวกัน

น้ำครั้งนี้จึงถาโถมทับแก่นกลวงๆ ออกไปมาก จนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วแก่นกับกระพี้เราก็พอกัน คือเป็นสังคมอับจนปัญญาค่อนข้างมาก วิธีการแก้ปัญหาเราก็ไม่ต่างจากชาวนาที่รอฟ้ารอฝนให้ช่วยตกยามหน้าแล้ง ต้องสวดมนต์เยอะๆ แล้วหวังให้เทวดาพระอาทิตย์ช่วยเผาน้ำให้แห้งเร็วๆ จึงจะจบเรื่องไปเสียที

อนาคตเราจึงอยู่ที่การไปให้พ้นอบายภูมิแห่งความไม่รู้ต่างๆ ทั้งหมดนี้ให้ได้ เรามีทิศทางเดียวที่ควรมุ่งไปในอนาคตคือ การทำนวัตกรรม และง่ายที่สุดคือเริ่มจากตัวของเราเอง บริษัทของเราเอง องค์กรของเราเอง เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องรอสิ่งศักดิ์สิทธ์ให้มาช่วยให้รอดทั้งนิคม แต่เราต้องรู้อย่างถูกต้องว่าจะช่วยบริษัทตัวเองให้รอดหรือเจ็บน้อยที่สุดได้อย่างไร

เพราะการช่วยเหลือตัวเองให้ได้ก่อนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของการทำนวัตกรรม ส่วนความรู้นั้น หากเราไม่มีไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยที่สุดเราต้องรู้ว่าจะหามันเจอได้อย่างไร และต้องสามารถแยกแยะให้ออกระหว่างไสยศาสตร์กับความรู้ที่เป็นจริงด้วย ไม่เช่นนั้น เราก็จะตกอยู่ในความคิดเดิมของการเอากระสอบทรายกับคันดินมาแก้ไขปัญหาที่สูง 2 เมตรแต่มีปริมาณมหาศาลต่อไป

พ้นจากวิกฤติในครั้งนี้ เราจึงต้องย้ายตัวเองเข้าสู่ฤดูกาลใหม่โดยบังคับคือ ฤดูนวัตกรรม หากเราล้มลงเพราะน้ำ เรายิ่งต้องทำนวัตกรรมเพื่อให้เราลุกขึ้นยืนใหม่ได้ หากเรารอดจากน้ำ เรายิ่งควรเร่งทำนวัตกรรม เพราะน้ำอาจมาหาเราอีกในปีหน้าก็ได้ หากเรารวยจากน้ำในครั้งนี้ เราก็สมควรหานวัตกรรม เพื่อให้รวยจากน้ำได้ยิ่งกว่านี้อีกในอนาคต หากเราไม่สนใจอะไร ไม่เดือดร้อน ไม่ได้วุ่นวายหรือได้ประโยชน์อันใดจากน้ำในคราวนี้ อย่างน้อยที่สุด เราก็สามารถเรียนรู้ได้ว่า มีนวัตกรรมอะไรบ้างที่เราอาจนำมาปรับใช้ในชีวิตของเราได้ หรือมีความคิดดีๆ สักอย่างไหมที่เราคิดขึ้นมาแล้วอาจพัฒนาเป็นนวัตกรรมได้ น้อยของน้อยที่สุดจริงๆ เราก็ยังสามารถเรียนรู้เรื่องราวนวัตกรรมได้มากมายจากน้ำในครั้งนี้ ฤดูต่อไปและต่อไปจากนี้ จึงมีแต่ฤดูนวัตกรรมสำหรับคนไทยทุกคน