วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Ultra Marathon




วันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันแรงงาน แต่ปี 2554 นี้เป็นวันแรงงานที่มีความหมายสำหรับผมมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมลงร่วมแข่งขันระดับมหาโหดที่เรียกว่า Ultra Marathon ซึ่งแปลว่าเป็นรายการแข่งขันที่มีระยะทางมากกว่าประเภทมาราธอนปกติที่ 42.195 ก.ม. อันเป็นระดับเกือบเข้าใกล้ยอดมนุษย์แล้ว ผมคิดอยู่นานสองนานว่าจะเอาไหม เพราะตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงวันแข่งขัน ผมรับบทเป็นพ่อเลี้ยงลูกเดี่ยวมาตลอด เวลาจะซ้อมแทบไม่มี





ทุกครั้ง ทุกเช้าที่ผมตื่นมาจะซ้อม มีลูกสาวตัวดีสองคนนอนอยู่ข้างๆ ผมก็อดกอดลูกอดหอมลูกไม่ได้ พอได้นอนกอดลูกเข้า ใจมันก็ไม่อยากจะไปซ้งไปซ้อมอะไรแล้ว ลืมหมดเลยชีวิตนี้ นอนกกเป็นแม่ไก่จนกระทั่งเลยเวลาวิ่ง เป็นเวลาทำอาหารเช้าให้ลูกๆ ก็จำเป็นต้องกระวีกระวาดตื่นจริงๆ มาทำงาน





ชีวิตผมเป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน พอถึงเสาร์อาทิตย์ จะวิ่งยาวๆ เสียหน่อยผมต้องขออนุญาตลูกบังเกิดเกล้าว่า พ่อขอไปซ้อมหน่อยน๊า เดี๋ยวกลับมา ลูกบอกเสียงเฉียบขาดว่า "ไม่ได้" พ่อจะทิ้งหนูไปไหน เพราะผมเคยแอบหนีไปซ้อมตอนตี 4 กว่าจะกลับบ้านก็ 7 โมงเช้า ลูกตื่นมาไม่เห็นใครนอกจากพี่น้องท้องเดียวกันสองคน ก็เลยร้องโวยวายใหญ่ เดือดร้อนคนข้างห้องไปหมด กลับมาคราวนั้น ผมโดนลูกสวดภาณยักษ์ใส่เลย ก็เลยต้องขอทุกครั้งก่อนจะหนีไป บางครั้งก็อนุญาต บางครั้งก็ไม่ สุดแล้วแต่อารมณ์คุณเธอ





อย่างไรก็ตาม ผมก็ตัดสินใจมาลงแข่งในวันแรงงานปีนี้จนได้ ทั้งที่อ่อนซ้อมเหลือทน แถมร้ายที่สุดคือ วันก่อนหน้าลงแข่งขันผมอดนอนอย่างหนัก เพราะจำเป็นต้องพาลูกไปฝากบ้านพ่อตา วันแข่งผมต้องตื่นแต่เช้า เดี๋ยวจะไม่มีคนดูแล คืนที่ฝากแอร์บ้านพ่อตาผมติดๆ ดับๆ ทั้งลูกทั้งผมนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน กว่าจะข่มตานอนได้ก็เกือบตี 3 เข้าให้ ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 4 เลยไม่ต้องหลับต้องนอนกันพอดี พอตี 5 ผมก็สะโหลสะเหลออกจากบ้านไปขึ้นแท๊กซี่





ผมไม่เคยมาสนามแข่งนี้มาก่อน อยู่ที่บางกะปิ หลังการเคหะแห่งชาติ แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกว่าวันนี้คงพอกัดฟันได้ เพราะร่มรื่นอยู่ ไม่น่าจะร้อนมากเท่าไหร่ อากาศร้อนกับนักวิ่งนี้เป็นคู่กัดกันเลย





ผมรีบฝากของ หาอะไรกินรองท้องเร็วๆ เตรียมยืดเส้น และพร้อมลงแข่ง ความจริงไม่พร้อมหรอก ทั้งไม่ได้นอนและไม่ได้ซ้อมให้เพียงพอเลย





เริ่มออกตัวตอน 6 โมงเช้าตรง และสิ้นสุดเวลาการแข่งขันที่ 4 โมงเย็น รวมเวลา 10 ชั่วโมงเต็ม





800 เมตรแรกของผมทรมานจริงๆ การวิ่งเป็นวงกลมในสวนสาธารณะมันก็โอเคอยู่หรอก แต่ผมง่วง ใน lap แรกผมรั้งท้ายเลย ขาไม่อยากจะก้าว หัวใจก็เต้นหวิวๆ ชอบกล ความจริงผมมีอาการคัดจมูกมาตลอดสัปดาห์ด้วย เพราะแพ้ฝุ่นอย่างมากเนื่องจากเก็บกวาดบ้านให้เรี่ยมแร้ รอรับขวัญศรีภรรยาที่ไม่ได้เจอกันมานานแสนนาน จนบางครั้งเวลาเจอคำถามว่าแต่งงานหรือยัง ผมบางทีก็งงๆ ว่าตัวเองโสดหรือมีเมียแล้วกันแน่





lap ที่สอง สาม สี่ ห้า ผมก็ยังวิ่งเนิบๆ ไม่มีหยุด แต่รั้งท้ายโคตรๆ นักวิ่งแนวหน้าน๊อกรอบผมไปกันคนละไม่รู้กี่รอบ ในใจผมก็นึกสวดไปว่า นี่ยังอีก 9 ชั่วโมงกว่า พวกคุณจะรีบไปไหนกันไม่ทราบ อันที่จริงพวกแนวหน้าแท้ๆ ประกอบด้วยนักวิ่งเคนย่าชื่อ อัลเฟรด แชมป์ปีที่แล้ว สามารถทำระยะทางรวมได้มากกว่า 100 ก.ม. และแนวหน้าแท้ๆ อีกพวกคือ นักวิ่งทีมชาติที่มาอาศัยสนามแข่งทดสอบประสิทธิภาพของตัวเอง





ผมมันเป็นพวกนักวิ่งแนวนอน คือ วิ่งไปผมก็อยากจะล้มตัวลงนอนให้รู้แล้วรู้แรด เหนื่อยสุดๆ ตั้งแต่ 3 ก.ม. แรกแล้ว





ราวๆ เกือบ 9 โมง ปรากฎว่าฝนตก ตกหนักมาก หลายคนชอบใจ ผมก็ว่าดี เพราะจะได้ไม่ร้อน ไม่เหนื่อย แต่มันตกนานเกินไป ตกมากเกินไป ทำให้ตัวหนักขึ้น รองเท้าอุ้มน้ำมาก และที่แย่ที่สุดคือ มันทำให้รองเท้าเสียดสีกับถุงเท้าจากการวิ่ง เกิดเป็นความอับชื้น ท้ายที่สุดคือทำให้มันกัดเท้าอย่างแรง นักวิ่งหลายคนยอมถอดรองเท้าทิ้ง หันมาวิ่งเท้าเปล่าแทน ผมไม่กล้า ก็ฝืนวิ่งอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ความรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าเกิดขึ้นตั้งแต่ราว 10 โมงแล้ว





พอใกล้ 11 โมง ผมก็หิวมากจนต้องแวะที่ station เพื่อหาของกิน ซึ่งผมก็กินอย่างกับผีปอบ คือโซ้ยทุกอย่างที่มีให้กิน ทั้งน้ำ น้ำเกลือ ข้าวผัดกระเพรา ขนมปัง กล้วย แตงโม ข้ามต้มมัด สับปะรด ไม่มีบันยะบันยัง กินจนกระเพราะครากภายในเวลาแค่ 10 นาทีเอง มันหิวจัดจริงๆ ตัวก็เปียกอับ ผมหยุดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เดินไปที่กระดานบอกคะแนนจัดอันดับ ปรากฏว่าผมอยู่ที่ลำดับ 158 จากราวๆ 200 กว่า





งานนี้มีรางวัลที่ผมเคยสนใจว่าจะลองดูคือ ติด 100 คนแรกที่ทำระยะทางรวมสูงสุดให้ได้ เพื่อรางวัลเป็นเสื้อผู้พิชิตที่ทางเจ้าภาพเขาทำมาแค่ 100 ตัวในโลกเท่านั้น เป็นเกียรติกับชีวิตนักกีฬามาก ส่วนอีกรางวัลที่ผมเล็งคือ ทำให้ครบ 60 รอบสนาม หรือคิดเป็นระยะทางรวม 48 ก.ม. ก็จะได้ถ้วยรางวัล





นักกีฬาทั่วไปอาจจะบอกว่า แค่เกินจากมาราธอนไป 6 ก.ม. ก็คงไม่ยาก ในชีวิตจริงผมจะบอกให้ว่ายากมากครับ เพราะกว่าจะวิ่งไปให้ครบ 42.195 ก.ม. ก็หืดจับแล้ว กว่าจะขยับร่างกายให้เคลื่อนที่ไปได้อีกกิโล หรือสองกิโลนั้น มันยากสุดๆ





ผมเองในชั่วโมงแรกก็รู้ตัวว่า ผมคงไม่ได้สักรางวัลแน่นอน แค่วิ่งให้ครบระยะมาราธอนก็ไม่น่าจะทำได้แล้ว และที่สำคัญคือ ทั้งเหนื่อยทั้งง่วงนอน





แต่พอได้อาหารไป ผมก็เหมือนควายถึก ค่อยๆ ก้าวไป ก้าวไปแบบเนิบๆ ไปเรื่อยๆ อาหารมื้อนี้เดชะบุญทำให้ผมเสือกไสร่างกายอันแก่ชราไปได้อีกราวๆ ชั่วโมง พอกลับไปดูคะแนนใหม่ ปรากฏว่าผมขยับขึ้นมาอยู่ที่ลำดับ 138 แล้ว





หลังเที่ยง ฝนไม่มีแล้ว ผมก็ไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง หยุดเดินพักบ้าง แต่ไม่มีหยุดนั่ง ขยับร่างกายชรามา 6 ชั่วโมงเต็มแล้ว ผมไม่มีนั่งเก้าอี้เลย นักกีฬาในเวลานี้เริ่มบางตาลง ผมคิดว่าหลายคนคงพัก หาอะไรกินเป็นแน่ แต่ผมก็ยังคงไปต่อ ชีวิตวิ่งเป็นวงกลมอยู่ในสนาม





พอถึงราวๆ บ่ายโมงครึ่ง ผมก็กลับไปดูคะแนน พร้อมกับหาอะไรกินเพิ่มเติมอีก ได้ไก่ทอดมา 1 ชิ้นจากเพื่อนนักกีฬาใจบุญแบ่งให้ด้วยน้ำใจ กินข้างต้มอีกชาม ขนมปัง และน้ำอีกพะเรอเกวียน ส่วนลำดับผมขยับขึ้นมาเป็น 122





ถึงตรงนี้ ใจก็นึกว่า วันนี้จะลุ้นถ้วยรางวัล 60 รอบน่าจะได้น่ะ ทั้งที่ร่างกายมันบอบช้ำเหลือทน ตีนก็เจ็บ ง่ามขาก็เปียก หัวใจไม่ได้หยุดพักเลย แต่เอาว่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แข่งให้มันรู้ไปว่าชีวิตชรานี้มันจะไปได้อีกสักกี่น้ำ





ขาจึงยังคงก้าวไปด้วยใจที่มุ่งมั่นมากขึ้น ผมทำระยะครบ 60 รอบได้ในเวลาราวบ่าย 2 โมงกว่า คราวนี้ผมไม่ได้กลับไปดูคะแนนลำดับหรอก เพราะคิดในใจคำนวณแล้วว่า เราถูกทิ้งห่างมาก ยังไงก็ทำเวลารวมไม่ติด 1 ใน 100 แน่นอน





สนามนี้ ผมคิดว่าเป็นสนามที่ต้อง qualified ด้วยถึงคิดจะมาลงแข่งได้ เพราะในระดับ Ultra Marathon นี้ปีหนึ่งจัดแค่หนึ่งหรือไม่ก็สองสนามเท่านั้น นักกีฬาทั่งประเทศต่างต้องการมาลงชิงรางวัล ประลองความสามารถของตัวเองทั้งนั้น ผมเลยได้เห็นนักกีฬาหลายสิบชีวิตที่มาจากต่างจังหวัด กะดูน่าจะมากกว่า 50 - 60 คนด้วยซ้ำ บางคนมาจากระนอง หาดใหญ่ อุตรดิตถ์ เชียงราย เท่าที่ดูจากสังกัดชมรม พวกนี้เป็นระดับแชมป์ของจังหวัดทั้งนั้น น่าจะมีผมที่สะเออะมาคนเดียว วิ่งเดี่ยว ไม่มีกลุ่ม ไม่มีซุ้มพักเป็นของตัวเอง รู้สึกอิจฉาคนที่มาเป็นทีมมาก เพราะเขามีทั้งผ้าเย็น เต้นท์นอนพัก คนนวดขา อาหารน้ำท่าบริบูรณ์ ผมมีแต่สมองกลวงๆ กับเท้าบวมๆ





มีช่วงหนึ่งที่วิ่งๆ อยู่มีเด็กเดินมากับแม่ ถามแม่ว่า แม่ๆ เขาวิ่งไปไหนกัน? ผมขำจนกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะผมก็ไม่รู้ว่า ตัวเองจะวิ่งไปไหนกัน วิ่งเป็นวงกลมอย่างนี้มานับสิบๆ รอบแล้ว และจะวิ่งเพื่ออะไรก็ไม่รู้ มันเกินเลยไปกว่าการวิ่งเพื่อสุขภาพมากแล้ว ที่ทำอยู่มันเป็นกระบวนการทำลายตัวเองชัดๆ แต่ผมก็เลือกที่จะไปต่อ เพื่อพิสูจน์ว่า สุดท้ายแล้วผมจะทำได้ไหม ทำได้ดีที่สุดเท่าไหร่ ผมจะเดินทางไปถึงชั่วโมงที่ 10 หรือเปล่า? ผมว่าคำถามพวกนี้ มันก็เป็นคำตอบในตัวเองนั่นแหละตราบเท่าที่ผมไม่หยุดก้าวไปข้างหน้า





ถึงชั่วโมงสุดท้าย ผมบอกตัวเองได้ว่า ร่างกายผมแทบละลายแล้ว มันไม่เป็นผู้เป็นคนอีกแล้ว เอาคนแก่มาเดินยังอาจจะเร็วกว่าผมอีก แต่ผมก็ยังคงก้าวไปไม่หยุด นับไปที่ละรอบที่เราเข้าใกล้ 55 ก.ม. แล้วสินะ ก็เลยตั้งเป้าหมายสดๆ ตรงนั้นเลยว่าจะท้าทายตัวเองด้วยการวิ่งไปให้ครบ 60 ก.ม. ให้ได้





ผมก็ทำได้จริงๆ การนับระยะใช้วิธีการประมาณเอา ตอนที่ครบ 60 กิโลเมตรแล้วยังเหลือเวลาอีกราว 10 นาที ผมเลยคิดว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองไปต่อให้จบ 10 ชั่วโมงดีกว่า ทั้งที่สมองไม่ทำงานแล้ว มันอยากพักเต็มทน แต่ใจสั่งให้ไปต่อให้ต้องค่อยๆ ก้าวก็เอา





นาทีสุดท้าย ผมเหลือระยะทางอีกประมาณ 400 เมตรจะเข้าเส้นชัย หากผมไปไม่ทัน รอบนี้ผมจะฟาวล์ทันที ไม่สามารถเอามาคำนวณนับระยะได้ ผมเลยกัดฟันเพิ่มสปีด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า ผมสามารถวิ่งได้เร็วขนาดนั้นในชั่วโมงนั้น ในสภาพร่างกายอย่างนั้นได้ ผมได้ยินเสียงประกาศบอกว่าเหลือเวลาอีก 30 วินาที ผมมีระยะทางที่ต้องไปต่ออีก เกือบ 200 เมตร เอาว่ะ ตายเป็นตาย ผมวิ่งขึ้นแซงหน้านักกีฬาทีละคนสองคนไปเรื่อยๆ แบบช้ำๆ คนสุดท้ายที่ผมแซงในระยะ 50 เมตรที่เหลือเป็นนักวิ่งฝรั่งที่น็อกรอบผมมาตลอด 10 ชั่วโมง รู้สึกสะใจเล็กๆ ที่แซงเขาได้แบบโง่ๆ การเพิ่มสปีดในระยะสุดท้ายนี่ ปกติเขาไม่ทำกันเพราะมันจะเจ็บหนักมาก แต่ผมก็เอาเพราะไม่อยากเสียรอบ และอยากให้ตัวเองวิ่งจนครบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ตอนที่เข้าเส้นชัย น้องโอ๊ค พันธพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ น้องนักวิ่งอีกคนที่ลงสนามเป็นเพื่อนผมประจำมาคอยเชียร์ด้วย เขายังแปลกใจว่าทำไมผมเหลือกำลังอัดได้ในนาทีสุดท้าย ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าทำไปได้อย่างไร แต่ก็ได้ทำในที่สุด





ผมจบการแข่งขันในเวลารวม 9 ชั่วโมง 59 นาที กับอีก 35 วินาที ระยะทางรวม 61.6 ก.ม. โดยไม่มีหยุดนั่ง หยุดนอน สักครั้งเดียว





หลังเส้นชัย ผมหยุดหอบหายใจ คุยกับโอ๊ค มองหาของกิน และไปดูป้ายคะแนน






ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆ ว่าผมติด 1 ใน 100 ด้วย โดยอยู่ในอันดับที่ 99 นี่ถ้าผมไม่กัดฟันวิ่งอีก 2 รอบสุดท้ายผมคงไม่ติดอันดับแน่นอน น่าจะหลุดไปหลังร้อยเลย





ผมก็เลยได้สองรางวัลที่เคยคิด แต่พอมาลงวิ่งจริงๆ ไม่ได้คิด สุดท้ายก็ได้ครองทั้งสองรางวัลแบบไม่ตั้งใจทำ แต่ตั้งใจแข่ง ผมเคี่ยวกรำร่างกายอันแก่ชราในวันนี้มากมายจริงๆ สมควรแล้วที่มันจะได้ผลตอบแทนที่ภาคภูมิใจ





ผมชอบรางวัล 1 ใน 100 มากกว่าถ้วยผู้พิชิต 60 รอบสนาม เพราะรู้สึกว่าตัวเองติด 100 คนแรกของประเทศที่ทำได้ มันเลยภูมิใจมากกว่า ส่วนระยะ 60 รอบนั้นมีคนทำได้มากกว่า 100 คน เลยไม่ภูมิใจเท่า





การแข่งขันสำหรับผม คือ การพิสูจน์วินัย ความสามารถ ความอดทน สภาพจิตใจ และวิญญาณของการต่อสู้ที่แท้จริง





ผมกลับบ้านแบบเจ็บๆ อาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงแทบไม่อยากลุกขึ้นมาเลย แต่ผมต้องไปรับศรีภรรยาที่สนามบิน ลูกๆ ก็ไม่ได้อยู่กับผมทั้งวัน เจ้าตัวเล็กบอกว่า ขอเล่นขี่ม้าหน่อย ผมบอกว่า วันนี้ม้าแก่ของลูกเจ็บมาก และเหนื่อยจริงๆ พ่อขอวันหนึ่งน่ะ เดี่ยวเราไปรับแม่กัน





ตอนที่ผมไปสนามบิน ปรากฎว่าไฟลท์ของศรีภรรยาผมเลื่อนจาก ห้าทุ่มเป็นเกือบเที่ยงคืน ลูกๆ เลยนอนสัปหงกกันหมดในรถ ส่วนผมก็ใคร่จะนอนให้ได้เต็มกลืน





หลังจากกลับบ้าน ผมหลับสนิท หลับลึกมาก ตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า หลับรวดเดียวเลย ความจริงยังอยากนอนต่อ แต่ด้วยนิสัยตื่นเช้าผมเลยต้องลุกมาทำงาน ขาก็ยังเจ็บระบมแต่พอเดินได้ วันที่ 2 พฤษภาคม ผมไม่หยุดชดเชยเพราะเขาถือว่าข้าราชการไม่ใช่กรรมกร ไม่ต้องหยุดวันแรงงาน แต่ผมใช้แรงจนหมดหยดสุดท้ายในวันแรงงานไปแล้ว





ปีหน้า ยังไม่คิดว่าจะกลับไปแข่งใหม่ไหม แต่ที่แน่ๆ วันที่ 15 พฤษภาคม ผมมีสนาม Adidas King of the Road ระยะ 15 ก.ม. ซึ่งผมจะไปแข่งพร้อมศรีภรรยา ส่วนเดือนมิถุนายน มี Laguna Phuket Marathon 42.195 ก.ม. ซึ่งจะไปกับโอ๊คอีกสนาม





ระยะทางรวมของปีนี้น่าจะเกิน 500 ก.ม. แน่ๆ รองเท้า Asics คู่เก่งของผมที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นพังยับเยินไม่มีชิ้นดี คู่นี้อยู่กับผมมาสัก 700 ก.ม. เห็นจะได้ ไปบ้านเก่าเสียแล้วในที่สุด





ชีวิตการเป็นนักกีฬาสอนอะไรผมมาก วันที่ผมเขียน Blog นี้เป็นวันที่ 3 พฤษภาคม ผมเดินเหินได้คล่องขึ้น ไม่เจ็บมากนักแม้ยังคงต้องอาศัยผ้ายืดพันไว้บ้าง แต่ก็กำลังฟื้นตัวคืนมาเรื่อยๆ เมื่อวานผมกินข้าวเป็นพายุเลยทีเดียว





สนามหน้า ผมไม่คาดหวังว่าจะทำเวลาได้ดีขึ้น แต่ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่า ผมจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ในวันนั้น เพราะวันของเราที่แท้จริง มีเพียงแค่ขณะเดียว คือ วันเวลา ณ ปัจจุบันที่เราหายใจอยู่ ฉะนั้น ผมจะทำให้ดีในวันนี้ของผมทุกเวลา จนกว่าร่างกายอันแก่ชราแล้วนี้จะเดินทางถึงฟากฝั่งแห่งการพักผ่อนนิรันดร